14 February 2001
การลงทุนในทีแอลพีซี และ ทีแอลพี โคเจน
ที่ บผฟ. 310/056 14 กุมภาพันธ์ 2544
เรื่อง การลงทุนในทีแอลพีซี และ ทีแอลพี โคเจน
เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. ใคร่ขอแจ้งให้ทราบว่า คณะกรรมการ บผฟ.
ในการประชุมครั้งที่ 13/2543 วันที่ 16 ธันวาคม 2543 มีมติอนุมัติให้ บผฟ. เข้าลงทุนในบริษัท ทีแอลพี
โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
โคเจเนอเรชั่น ขนาดกำลังผลิต 106 เมกกะวัตต์ ณ สวนอุตสาหกรรมระยองอินดัสเตรียลปาร์ค มูลค่า
โครงการประมาณ 3,253,000,000 บาท (เป็นส่วนของทุนประมาณ 1,060,000,000 บาท และ
เป็นส่วนของเงินกู้ประมาณ 2,193,000,000 บาท) โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง
ประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะเวลา 21 ปี ซึ่งจะเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า ณ กำลังผลิตตามสัญญา 60
เมกกะวัตต์ ในเดือนมกราคม 2546 สำหรับกำลังผลิตส่วนที่เหลือทั้งไฟฟ้าและไอน้ำจะขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า
ในสวนอุตสาหกรรมระยองอินดัสเตรียลปาร์ค โดย บผฟ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น ทีแอลพี โคเจน
กับ บริษัท ไทยแอลเอ็นจีเพาเวอร์ จำกัด (ทีแอลพีซี) ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 นอกจากนี้ บผฟ.
มีเป้าหมายในที่สุดที่จะถือหุ้น ทีแอลพี โคเจนในสัดส่วนร้อยละ 80 ร่วมกับ บริษัท อิเลคตริค เพาเวอร์
ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (อีพีดีซี) ซึ่งจะถือหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 20
เนื่องจาก ทีแอลพี โคเจน เป็นบริษัทย่อยของ ทีแอลพีซี ดังนั้น เพื่อให้การบริหารของ บผฟ.
ใน ทีแอลพี โคเจน ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด คณะกรรมการบริหาร บผฟ. ในการประชุมครั้งที่
2/2544 วันที่ 29 มกราคม 2544 มีมติอนุมัติให้ บผฟ. ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้น ทีแอลพีซี กับ บริษัท
เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ ดีวีลอปเมนท์ จำกัด (อีไอดี) บริษัท ปิโตร เอเชีย อินเตอร์
เนชั่นแนลคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ปิโตร เอเชีย) บริษัท ก๊าซธรรมชาติไทย จำกัด (ไทยแอลเอ็นจี) บริษัท
ธนายง จำกัด (มหาชน) หรือ ธนายง และบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) หรือ
ไอทีดี โดยได้มีการลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้น ทีแอลพีซี ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544
สำหรับรายละเอียดการซื้อหุ้น ทีแอลพีซี และ ทีแอลพี โคเจน เป็นดังนี้
1. การลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้น ทีแอลพีซี ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544
ปัจจุบัน โครงสร้างการถือหุ้นของ ทีแอลพีซี ซึ่งมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 75,000,000 หุ้น
ประกอบด้วย
- การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) 30,000,000 หุ้น (ร้อยละ 40)
- อีไอดี 3,000,000 หุ้น (ร้อยละ 4)
- ปิโตร เอเชีย 6,997,499 หุ้น (ร้อยละ 6.33)
- ไทยแอลเอ็นจี 7,499,999 หุ้น (ร้อยละ 10)
- ธนายง 9,997,499 หุ้น (ร้อยละ 13.33)
- ไอทีดี 10,005,000 หุ้น (ร้อยละ 13.34)
- บผฟ. 7,500,000 หุ้น (ร้อยละ 10)
บผฟ. ได้ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายหุ้นทีแอลพีซี ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2544 กับ อีไอดี
ปิโตร เอเชีย ไทยแอลเอ็นจี ธนายง ไอทีดี เป็นจำนวนรวม 37,499,997 หุ้น หรือประมาณ
ร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด(75,000,000 หุ้น) โดย บผฟ. ได้กำหนดเงื่อนไขการชำระค่าหุ้น ดังนี้
ก. บผฟ. ต้องได้รับการโอนหุ้น ทีแอลพี โคเจน จาก ทีแอลพีซี ในจำนวนร้อยละ 60
(การลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น กับ ทีแอลพีซี มีขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544)
ข. ทีแอลพี โคเจน ต้องลงนามในสัญญากู้ยืมเงินเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่สวน
อุตสาหกรรมระยองอินดัสเตรียลปาร์ค จากสถาบันการเงินเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่า
จะลงนามได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2544
รายละเอียดการจะซื้อหุ้น ทีแอลพีซี
- จำนวนหุ้นที่ซื้อจาก อีไอดี 3,000,000 หุ้น
- จำนวนหุ้นที่ซื้อจาก ปิโตร เอเชีย 6,997,499 หุ้น
- จำนวนหุ้นที่ซื้อจาก ไทยแอลเอ็นจี 7,499,999 หุ้น
- จำนวนหุ้นที่ซื้อจาก ธนายง 9,997,499 หุ้น
- จำนวนหุ้นที่ซื้อจาก ไอทีดี 10,005,000 หุ้น
- มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท
- มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้ว หุ้นละ 5.00 บาท
- ประมาณการสินทรัพย์สุทธิมีมูลค่าหุ้นละ 3.68 บาท
- บผฟ. ซื้อหุ้นในราคาลดจากมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วหุ้นละ 4.68 บาท
- จำนวนเงินรวมที่จะใช้ในการซื้อหุ้นทีแอลพีซี จาก 5 บริษัท 175,499,985.96 บาท
เมื่อ บผฟ. ดำเนินการซื้อหุ้นดังกล่าว โครงสร้างการถือหุ้นของทีแอลพีซีจะเปลี่ยนแปลงเป็น
บผฟ. 44,999,997 หุ้น (ร้อยละ 60)
ปตท. 30,000,000 หุ้น (ร้อยละ 40)
นอกจากนี้ บผฟ. ได้แสดงเจตนารมย์ที่จะซื้อหุ้นทีแอลพีซี จำนวน 30,000,000 หุ้น (ร้อยละ
40) จาก ปตท. ซึ่งการจำหน่ายหุ้นทีแอลพีซีของ ปตท. นั้น ปตท. จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตร
ก่อน ซึ่งขณะนี้คณะรัฐมนตรีในการประชุม ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ได้อนุมัติให้ ปตท. จำหน่ายหุ้นของ
ปตท. ใน ทีแอลพีซี แล้ว ซึ่งหาก บผฟ. ซื้อหุ้นทีแอลพีซี จาก ปตท. แล้วจะทำให้ บผฟ. เป็นผู้ถือหุ้น
รายเดียว (ร้อยละ 100) ในทีแอลพีซี
วัตถุประสงค์ประการสำคัญในการที่ บผฟ. จะเข้าถือหุ้นทั้งหมดใน ทีแอลพีซี ก็เพื่อจะได้มี
อำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญใน ทีแอลพี โคเจน ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อน
ร่วมโคเจเนอเรชั่น และ บผฟ. มิได้มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินธุรกิจประเภทอื่น ๆ ของ ทีแอลพีซี
2. การลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น ทีแอลพี โคเจน ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544
ปัจจุบัน ทีแอลพีซี เป็นผู้ถือหุ้น ทีแอลพี โคเจน ทั้งหมดจำนวน 50,000,000 หุ้น คิดเป็น
ร้อยละ 100 และ บผฟ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น ทีแอลพี โคเจน จาก ทีแอลพีซี ในวันที่ 14
กุมภาพันธ์ 2544 จำนวน 30,000,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 60 ของหุ้นทั้งหมด
รายละเอียดการซื้อหุ้น ทีแอลพี โคเจน
- จำนวนหุ้น ทีแอลพี โคเจน ที่ บผฟ. จะซื้อจาก ทีแอลพีซี 30,000,000 หุ้น
- มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท
- มูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วหุ้นละ 4.00 บาท
- สินทรัพย์สุทธิที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ ณ เดือนธันวาคม 2543
ซึ่งตัดรายจ่ายก่อนการดำเนินงานแล้ว มีมูลค่าหุ้นละ 2.48 บาท
- บผฟ. ซื้อหุ้นในราคาเท่ากับมูลค่าหุ้นที่ชำระแล้วหุ้นละ 4.00 บาท
- จำนวนเงินทั้งสิ้นที่ใช้ในการซื้อหุ้น ทีแอลพี โคเจน 120,000,000 บาท
- สัดส่วนการถือหุ้นภายหลัง บผฟ. เข้าซื้อหุ้น ทีแอลพี โคเจน คือ
บผฟ. 30,000,000 หุ้น (ร้อยละ 60)
ทีแอลพีซี 20,000,000 หุ้น (ร้อยละ 40)
และเนื่องจาก ทีแอลพี โคเจน ยังชำระค่าหุ้นไม่เต็มตามมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ ดังนั้น คณะกรรมการบริหาร
บผฟ. ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 วันที่ 29 มกราคม 2544 จึงมีมติให้ บผฟ. จ่ายชำระค่าหุ้นเพิ่ม ใน
ทีแอลพี โคเจน ตามความจำเป็นในการใช้เงินของโครงการ และจะชำระตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งในขั้น
ตอนแรก ทีแอลพี โคเจน จะเรียกชำระค่าหุ้นเพิ่มจากผู้ถือหุ้นมูลค่าหุ้นละ 2 บาท เพื่อใช้ในการค้ำประกัน
การปฏิบัติตามสัญญากับ กฟผ. ซึ่งตามสัดส่วนการถือหุ้น บผฟ. จะต้องชำระค่าหุ้นเพิ่มเป็นเงิน 60,000,000
บาท
การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโคเจเนอเรชันนั้น เป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิด
มูลค่าเพิ่มแก่ บผฟ. โครงการฯ มีผลตอบแทนการลงทุนคิดเป็นร้อยละ 14.68 ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์
การลงทุนของ บผฟ. รายได้ส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขาย
ไฟฟ้าระยะยาวที่มั่นคง นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับ บผฟ. โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ระบบ
ซื้อขายไฟฟ้ากลาง เนื่องจาก โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโคเจเนอเรชัน ตั้งอยู่ที่สวนอุตสาหกรรมระยอง
อินดัสเตรียลปาร์ค ซึ่งเป็นแหล่งที่มีการใช้ไฟฟ้าของระบบ ทำให้การส่งกระแสไฟฟ้าผ่านระบบส่งไปยังผู้ใช้
ไฟฟ้ามีระยะทางที่สั้นกว่า ทำให้เกิดความสูญเสียในระบบส่งน้อยและสามารถลดค่าใช้จ่ายในการส่งกระแส
ไฟฟ้าได้ เป็นผลทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถซื้อไฟฟ้าจาก บผฟ. ได้ในราคาที่ถูกกว่าผู้ผลิตรายอื่นที่อยู่ไกลจาก
แหล่งที่มีการใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดผลดีต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและต้นทุนการผลิตกระแส
ไฟฟ้าของประเทศอีกด้วย
ขอแสดงความนับถือ
(นายสิทธิพร รัตโนภาส)
กรรมการผู้จัดการ