EN | TH
14 August 2002

สรุปผลการดำเนินงานของบจ.ไตรมาสที่2(F45-1)

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2545 หมายเหตุ:คำอธิบายและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าข้อมูลมีความถูกต้องและครบถ้วนและแสดงถึงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหาร เพื่อให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อย่างไรก็ตาม คำอธิบายและการวิเคราะห์ดังกล่าวขึ้นกับปัจจัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น ข้อมูลที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตในบทวิเคราะห์ฉบับนี้อาจเปลี่ยนแปลง ตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ข้อมูล และหากมีคำถาม หรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์และวิเคราะห์ธุรกิจ ฝ่ายการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5157-8 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นเวลาครบ 10 ปี เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2545 ที่ผ่านมา การจัดตั้ง บผฟ. นั้นเป็นไปตามนโยบายของ รัฐบาลโดยให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อลดภาระทางการเงินของภาครัฐ เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าต้องใช้เงินทุนมหาศาล และงบประมาณที่มีต้องจัดสรรเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วย อีกทั้งเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ประเทศจึงอยู่ในภาวะที่ มีความต้องการไฟฟ้าสูงและมีแนวโน้มว่ากำลังการผลิตในเวลานั้นมีปริมาณไม่เพียงพอกับประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต โครงสร้างบริษัทของ บผฟ. อยู่ในลักษณะโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจหลักโดยถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและ จำหน่ายกระแสไฟฟ้า และในบริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผลจากบริษัทในเครือโดยรับรู้ในรูปของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน ในบริษัทย่อย กิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และความสามารถหรือระดับคุณภาพการ บริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย และการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า 1.1 การวิเคราะห์รายได้ ใน 6 เดือนแรกของ ปี 2545 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า จำนวน 6,891 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2544 เพิ่มขึ้น จำนวน 1,038 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.73 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) รายได้ค่าไฟจากบริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 4,693 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน 292 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.63 โดยเป็นการเพิ่ม ขึ้นจาก บฟข. 464 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าไฟของ บฟร. ลดลง 172 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือ ต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟในแต่ละปี เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลักๆ คือ ค่าใช้จ่ายเงินกู้ และ ค่าบำรุงรักษาหลัก และใช้อัตราดังกล่าวตามได้ตกลงเมื่อ ลงนามในสัญญาในการคำนวณค่าไฟในแต่ละงวด สำหรับ บฟร. รายได้ค่าไฟจะค่อนข้างใกล้เคียงกันทุกเดือน ในแต่ละปี จะแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับโบนัส แต่ในจำนวน เล็กน้อย สำหรับ บฟข. รายได้ค่าไฟในแต่ละเดือนจะขึ้นอยู่กับการสั่งจ่ายไฟ แต่ทั้งนี้ ในแต่ละปี บฟข. จะได้รับค่าไฟตามชั่วโมงที่ถูกกำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เป็นอย่างน้อย และจะได้รับโบนัสในกรณีที่มีการสั่งจ่ายเกินกว่าที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงเวลา รายได้ค่าไฟที่ได้รับอาจไม่สัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นที่แสดงในงบการเงิน เนื่องจากมาตรฐานการบัญชีไทยกำหนดให้บันทึกค่าใช้จ่ายใน การบำรุงรักษาหลักตามที่เกิดขึ้นจริง และตารางการซ่อมบำรุงรักษาอาจมีการปรับตามความเหมาะสม 2) ส่วนแบ่งรายได้ค่าไฟจากกิจการร่วมค้า คือ จีอีซี โคแนล และเอพีบี จำนวน 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 144 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับรู้ ส่วนแบ่งรายได้เป็นปีแรกจาก เอพีบี ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของ บรพ. ที่ได้มาจากการร่วมทุนกับยูโนแคลเมื่อปลายปี 2544 3) รายได้ค่าขายน้ำ จากบริษัทย่อยคือ เอ็กคอมธารา จำนวน 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้เต็ม 6 เดือน ในขณะที่ปีที่แล้ว เริ่มจำหน่ายน้ำ ในเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแรก 4) รายได้ค่าบริการ จำนวน 138 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 76 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก ให้กับ บริษัทนอกเครือของ บผฟ. 5) รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 394 ล้านบาท ลดลง 127 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.35 มาจากสาเหตุหลักคือดอกเบี้ยรับจากสถาบันการเงิน ลดลง 142 ล้านบาท เนื่องจากนำเงินสดไปลงทุนและชำระหนี้ แม้ว่าจะมีเงินปันผลรับ เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท จากบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสวอเตอร์ และ กองทุนเปิดกรุงไทยธนสรร 6) ส่วนแบ่งผลกำไรจากบริษัทร่วม คือ เออีพี และ อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำนวน 48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน บผฟ. ได้รับส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 38 ล้านบาท อันเป็นผลจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 7) ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 557 ล้านบาท (ค่าเงินบาทแข็งขึ้นจากงวดก่อนประมาณ 2.69 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สรอ.) ในขณะที่ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว บผฟ. มีผลขาดทุนจำนวน 461 ล้านบาท (ค่าเงินบาทอ่อนตัวจากงวดก่อนประมาณ 1.92 บาทต่อดอลล่าร์สรอ.) จึงทำให้เกิดผลแตกต่างมากเป็นจำนวนถึง 1,018 ล้านบาท กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็น เงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 มิถุนายน 2545) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2544) อย่างไรก็ตาม ในการคำนวณรายได้ค่าพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็น สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟ โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้า เพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ส่วนที่ได้รับจากการชดเชยจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2545 รวม 6 เดือน เป็นเงิน 608 ล้านบาท 1.2 การวิเคราะห์รายจ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า ใน 6 เดือนแรก ของปี 2545 จำนวน 4,459 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 92 ล้านบาท เนื่องจากสาเหต ดังต่อไปนี้ 1) ต้นทุนขาย จำนวน 2,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 332 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.74 สาเหตุหลักคือ ต้นทุนขายของ บฟร. และ บฟข. เพิ่มขึ้น 207 ล้านบาท ซึ่ง ส่วนใหญ่มาจากค่าซ่อมบำรุงรักษาหลัก นอกจากนี้ยังมีต้นทุนขายของ เอพีบี ซึ่งเริ่มรับรู้ในปี 2545 จำนวน 86 ล้านบาท อีกทั้งยังมีจากต้นทุนขายของ เอ็กคอมธารา เนื่องจากในไตรมาสนี้รับรู้เต็ม 6 เดือน บฟร. และ บฟข. มีแผนการซ่อมบำรุงรักษาหลัก ในปี 2545 สูงกว่าปีก่อน โดยปกติ ในครึ่งปีหลัง โรงไฟฟ้ามักจะทำการหยุดเดินเครื่องเป็นเวลานานกว่าเพื่อซ่อม บำรุงรักษา เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคืออุณหภูมิ ซึ่งมักจะมีปริมาณน้อยลงในครึ่งปีหลัง เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงรักษาจะถูกบันทึกเมื่อได้เกิดขึ้น ฉะนั้นในครึ่งปีหลังต้นทุนขายซึ่งได้รวมค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงรักษาด้วยนั้น มีแนวโน้มสูงกว่าในครึ่งปีแรก 2) ต้นทุนบริการ จำนวน 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น 3) ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและอื่นๆ จำนวน 452 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.58 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ค่าใช้จ่ายในการบริหารของ บผฟ. เพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากผลขาดทุนจากการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า จำนวน 38 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของบริษัทอื่นๆในเครือ ลดลง 31 ล้านบาท ผลขาดทุนจากการทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้านั้น เกิดจากการที่ บผฟ. ได้เตรียมไว้สำหรับการลงทุนเพิ่มสัดส่วนในจีอีซี (ซึ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า บ่อนอก) ตามแผนการลงทุน แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวตามที่ประมาณการ และภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย ฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว รวมทั้งความจำเป็นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก จึงตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าว ประกอบกับภาวะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังมีความผันผวน จึงได้ดำเนินการขายสัญญาดังกล่าวเพื่อให ผลขาดทุนต่ำสุด อย่างไรก็ตาม บผฟ. มีความเห็นว่าผลขาดทุนดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญ และขณะนี้ บผฟ. อยู่ในระหว่างการปรับปรุงกระบวนการบริหารความเสี่ยง ทั้งระบบ 4) รายการขาดทุนจากการด้อยค่า จำนวน 342 ล้านบาท จากโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน เนื่องมาจากความไม่แน่นอนและ ความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก แม้ว่า ผู้ดำเนินโครงการสามารถเรียกร้องค่าชดเชยในกรณีที่ กฟผ. ยกเลิกโครงการ แต่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร กว่าจะได้รับเงิน บผฟ. ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและมีความจำนงในการดำเนินโครงการอย่างรอบคอบและระมัดระวังและคำนึงถึงมูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ จึงพิจารณารับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการดังกล่าวหลังจากได้ประเมินมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนจากเงินลงทุน โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2545 ผลขาดทุนจากด้อยค่าจำนวน 222 ล้านบาทได้รับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาสที่สองของปี พ.ศ. 2545 นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่าของค่าความนิยมซึ่ง เกิดจากการซื้อกิจการโครงการบ่อนอกจำนวน 120 ล้านบาทโดยรับรู้เป็น ค่าใช้จ่ายทั้งจำนวนในไตรมาสนี้เช่นกัน 5) ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 1,398 ล้านบาท ลดลง 339 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.52 สาเหตุของการลดลงมาจาก การลดลงของดอกเบี้ยจ่ายของ บผฟ. 93 ล้านบาท บฟร. 118 ล้านบาท บฟข. 64 ล้านบาท จีอีซี 24 ล้านบาท และโคแนล 52 ล้านบาท อันเป็นผลจากปัจจัยหลักคือ ยอดเงินต้นที่ลดลง และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นแข็งตัวขึ้นกว่างวดก่อน และอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของ บผฟ. ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายของ เอ็กคอมธารา เพิ่มขึ้นเนื่องจากรับรู้เต็ม 6 เดือนและ เอพีบี เพิ่มขึ้นเนื่องจากเพิ่งรับรู้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ในส่วนหุ้นกู้ของบผฟ. ในปี 2544 บผฟ. ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของเงินฝากประจำ หกเดือนสกุลเงินบาทบวกด้วยอัตราคงที่ ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายในงวดตุลาคม 2544 ลดลงเหลือร้อยละ 6 ต่อปี ต่อมา บผฟ. ได้ทำสัญญาอีกครั้งหนึ่งเพื่อปิดความเสี่ยง ของอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของเงินฝากประจำหกเดือนสกุลเงินบาทบวก ด้วยอัตราคงที่ เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.95 ต่อปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 เมษายน 2545 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับ 6 เดือนสิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2545 เป็นจำนวน 2,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,043 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 84.90 จากช่วงเวลาเดียวกันของ ปีก่อน เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถ้าไม่คำนึงถึงผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 557 ล้านบาท (ซึ่งเป็นผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้จำนวน 566 ล้านบาท) กำไรสุทธิ คิดเป็นจำนวน 1,715 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 25 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.48 เมื่อพิจารณาจากผลกำไรสุทธิ อาจสรุปได้ว่า บผฟ. มีผลการดำเนินงานดีกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้หลักของ บผฟ. ยังคงมาจาก 2 บริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. ซึ่งมีสัญญาซื้อขายระยะยาวกับ กฟผ. ที่มั่นคงโดยมีการกำหนดอัตราค่าไฟในที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ และผลตอบแทนไว้แล้วเพื่อให้ได้มาซึ่ง ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนในอัตราร้อยละ 20 และ 19 สำหรับ บฟร. และ บฟข. ตามลำดับ ตลอดอายุสัญญา ดังนั้นการพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทโดยรวม เมื่อพิจารณาประกอบกับประมาณการผลการดำเนินงานในทุกบริษัทย่อย กิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม อาจกล่าวได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทนอกเหนือจาก บฟร. และ บฟข. ยังอยู่ในระดับที่ด้อยกว่าที่ประมาณการไว้ ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างยังไม่สร้างรายได้ในขณะนี้ ซึ่ง บผฟ. จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการเลือกลงทุนและการบริหารจัดการในอนาคตให้ดียิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน ทั้งนี้ ถ้าไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก กำไรสุทธิสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2545 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เล็กน้อย เนื่องจากค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงรักษาหลักต่ำกว่าที่ประมาณการ อย่างไรก็ดี การที่ บผฟ. จะดำเนินการนำเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทย่อย กิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม มาบริหารและลงทุนเพิ่มเพื่อเพิ่มผลตอบแทน จะทำให้ สัดส่วนรายได้จาก บริษัทย่อยทั้งสอง ต่อรายได้รวม มีแนวโน้มลดลงเมื่อ บผฟ. ได้รับรู้รายได้จากการบริหารเงิน และผลตอบแทนจากการลงทุนโครงการใหม่ๆ แล้ว อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ณ สิ้นงวดไตรมาสที่ 2 ปี 2545 มีดังนี้ อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อรายได้รวม เท่ากับร้อยละ 27.28 อัตราผลตอบแทน (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับร้อยละ 8.25 อัตราผลตอบแทน (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) จากสินทรัพย์รวม เท่ากับร้อยละ 3.27 กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 3.26 บาท 1.4 การวิเคราะห์ผลขยายตัวของธุรกิจ ด้วยนโยบายของ บผฟ. ที่คำนึงถึงความสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้น กลยุทธ์ที่จะขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมทางด้านการรักษา คุณภาพและเครดิตให้อยู่ในระดับที่ดี ในไตรมาสที่ผ่านมา บผฟ. จึงมิได้ลงทุนในโครงการใดๆ ใหม่ และรอโอกาสจากการสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ และมีความเสี่ยงในระดับต่ำจากการลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพ อาทิ การมีส่วนร่วมในทรัพย์สินของ กฟผ. ที่จะถูกแปรรูปรัฐวิสาหกิจรวมถึงโครงการปรับ ปรุงโรงไฟฟ้าเก่า (Repowering) แม้ว่า รัฐบาลมีมติให้ กฟผ. เจรจากับเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่ บผฟ. มีสัดส่วนความ เป็นเจ้าของ ร้อยละ 30 ผ่าน จีอีซี เพื่อชะลอโครงการออกไปนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือการได้รับกระแสเงินสดช้ากว่าที่ประมาณการไว้ตามสมมุติฐานที่จะขาย ไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ในเดือน ตุลาคม 2547 และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนในการดำเนินโครงการต่อไป อย่างไรก็ตาม บผฟ. จะติดตามสถานการณ์อย่าง ใกล้ชิดและจะดำเนินการด้วยความรอบคอบ อีกทั้ง ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจพลิกฟื้น ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นนั้น บผฟ. ยังเล็งเห็นโอกาสในการ ขยายกำลังการผลิตที่โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ บผฟ. มีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้เสร็จสมบูรณ์ โดยในปี 2546 บผฟ. จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ ทีแอลพีโคเจน และร้อยเอ็ดกรีน ที่มีกำหนดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในเดือน มกราคม และ เมษายน ปี 2546 ตามลำดับ ส่วนในกรณีของ บฟร. และ บฟข. ที่เป็นบริษัทย่อยหลัก และ บผฟ. ได้รับรายได้ส่วนใหญ่จาก 2 บริษัทนี้นั้น ในบางปีที่อัตราค่าไฟตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดไว้เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาหลักใหญ่ (Major Overhaul) แต่ด้วยการจัดการด้านการซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและต้องบันทึกในงบการเงินตามมาตรฐาน การบัญชีนั้น อาจต่ำกว่าที่ใช้กำหนดในอัตราค่าไฟหรือรายได้ค่าไฟ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 บผฟ. ยังคงมีกำลังการผลิตติดตั้งที่ได้ผูกพันและเป็นส่วนที่ บผฟ. เป็นเจ้าของ รวม 2,785 เมกะวัตต์ ดังเช่นปลายปี 2544 และ ยังคงตั้งเป้าหมายที่เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5,000 เม็กกะวัตต์ ภายในปี 2548 บผฟ. มีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง และสำหรับปี 2545 บริษัทยังมีนโยบายที่จะรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 2 บาท โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนที่ต้องใช้ในโครงการที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารเงิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท นอกเหนือไปจากการบริหารเงินสดที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 2 รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 52,384 ล้านบาท ลดลง 581 ล้านบาทหรือร้อยละ 1.10 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2544 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 6,650 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.70 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 283 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.45 เป็นผลจากได้รับกระแสเงินจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เงินสดรับจากการกู้ยืมซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเบิกเงินกู้ของ ทีแอลพีโคเจน จำนวน 620 ล้านบาท และได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของ ตลาดและกองทุนฯ ต่างๆ อาทิ อีสวอเตอร์ กองทุนเปิดกรุงไทยธนสรรและการขายหลักทรัพย์ เป็นจำนวนรวม 221 ล้านบาท ในขณะที่มีการชำระหนี้ จำนวน 1,980 ล้านบาท และใช้ไปในกิจกรรมลงทุน โดยส่วนใหญ่เพื่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน และลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 111 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 9,630 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.38 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 648 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.30 เพื่อกันเป็นเงินสำรองในการชำระหนี้ โดยบางส่วนเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สรอ. 3) เงินลงทุนในบริษัทร่วมและอื่นๆ เป็นจำนวน 872 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.66 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 159 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.30 ซึ่งเป็นการ เพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 111 ล้านบาท และได้รับส่วนแบ่งผลกำไรจาก เออีพี และอมตะ เอ็กโก เพาเวอร์ เซอร์วิส จำนวน 48 ล้านบาท 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 28,563 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54.53 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 436 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.50 เนื่องมาจากสาเหตุหลัก คือ การตัดค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 1,056 ล้านบาท แม้ว่ามีการเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมอื่นๆ คือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน จำนวน 737 ล้านบาท และทรัพย์สินของ เอพีบี ที่ได้จาก การร่วมทุนกับ ยูโนแคล ผ่าน บรพ. 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 6,669 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.73 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 61 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.92 เป็นส่วนใหญ่เป็นผลจาก สินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง อาทิ โครงการทีแอลพี โคเจน และร้อยเอ็ดกรีน การเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้าและสินทรัพย์และภาษีค้างรับของ บผฟ. ในขณะที่มีการตัดจำหน่ายของค่านิยม เงินทดรองที่จีอีซีได้ใช้ไปสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก และค่าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก 2.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 31,607 ล้านบาท ลดลง 2,173 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.43 สาเหตุหลักคือการชำระหนี้ระยะยาวและหุ้นกู้ ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 30,337 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ -เงินกู้สกุลดอลล่าร์สรอ. จำนวน 382 ล้านดอลล่าร์สรอ. -เงินกู้สกุลเยน จำนวน 69 ล้านเยน -เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 139 ล้านเปโซ -เงินกู้สกุลบาท จำนวน 1,953 ล้านบาท -หุ้นกู้ จำนวน 10,522 ล้านบาท 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 1,269 ล้านบาท ได้แก่ ดอกเบี้ยค้างจ่าย เงินเบิกเกินบัญชี เจ้าหนี้การค้า ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่าย เงินปันผลค้างจ่าย และอื่นๆ นอกจากนี้ บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรองเพื่อภาระผูกพันในการชำระหนี้ไว้ในอัตรา ร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถนำเงินที่สำรองนี้มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระผูกพันดังกล่าว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ บผฟ. ดังกล่าวเป็นจำนวน 197 ล้านบาท 2.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 ส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและหักหุ้นที่ซื้อคืน) เป็นเงินจำนวน 20,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 1,625 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรในการดำเนินงานของครึ่งแรกของปี 2545 กำไรจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ แม้ว่ามีผลขาดทุนจากการแปลงค่า งบการเงินต่างประเทศ จำนวน 68 ล้านบาท จากการวิเคราะห์สินทรัพย์และหนี้สินข้างต้น สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 ได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 20,777 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 หนี้สิน จำนวน 31,607 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2545 ได้ดังนี้ -อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.52 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.76 เท่า -อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.74 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.89 เท่า -มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 38.41 บาท สูงกว่ากว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 35.26 บาท 3. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่า คงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็นเงินจำนวน 3,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นงวด 231 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 3,291 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรสุทธิสำหรับงวดครึ่งปีแรก ปรับด้วยรายการที่ไม่ใช่เงินสด และ รายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน เช่น ค่าเสื่อมราคา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ยังไม่เกิดขึ้น กำไรจากการขายหลักทรัพย์ เงินปันผลรับ และส่วนของผู้ถือหุ้นน้อย และปรับด้วยการเปลี่ยนแปลงจากสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 932 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไปในโครงการ ทีแอลพีโคเจน ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และการลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 2,128 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักคือ การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 1,980 ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน จำนวน 52 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผล จำนวน 771 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับเงินจากการก่อหนี้เพิ่มจากทีแอลพีโคเจนจำนวน 620 ล้านาท โดยสรุป ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของ ปี 2545 บผฟ. มีเงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงานและได้มาจากกิจกรรมหาเงิน แต่ใช้เงินไปในกิจกรรมการลงทุนและ กิจกรรมจัดหาเงินน้อยกว่าเงินสดที่ได้มา จึงทำให้เงินสดสิ้นงวดสุทธิเพิ่มขึ้นจากต้นงวด นอกจากนี้ บผฟ. สามารถบริหารเงินสดรวมถึงเงินทุนให้เพียงพอสำหรับ กิจกรรมการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน การชำระหนี้และการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลควบคู่กับนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวัง และการรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยหุ้นละ 2 บาทเมื่อมีผลกำไรทางบัญชีในปี 2545 11