EN | TH
13 November 2003

คำอธิบายงบการเงินไตรมาสที่ 3

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ 30 กันยายน 2546 หมายเหตุ:บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลและ แสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการ ดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะ การเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัย หรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการ พิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถาม ได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-2 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ จากประมาณการการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การคาดการณ์ความ ต้องการไฟฟ้าในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น สภาวะเช่นนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย ในการขยายกำลังการ ผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย บผฟ. มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทชั้นนำ ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมทั้งธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ทางสังคมเป็นสำคัญกลยุทธในการ ดำเนินธุรกิจของบริษัท มุ่งเน้นขยายตลาดการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีความต้องการไฟฟ้าอยู่เป็น จำนวนมาก นอกจากนั้น บผฟ. ได้แสวงหาโครงการผลิตไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน โดยผลิตและ จำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) บริษัทมีนโยบายมุ่งเน้นที่จะครองสัดส่วนการตลาดของกำลังการผลิตใหม่ จากการพัฒนาหรือซื้อ โครงการผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ อันจะนำมาซึ่งผลกำไรด้วยต้นทุนที่ประหยัดต่อขนาดและอยู่ในขอบข่ายความ ถนัดของ บผฟ. ในปัจจุบัน บริษัทมีแผนการวิเคราะห์และบริหารสินทรัพย์ของโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพื่อเพิ่มศักยภาพของโครงการที่มีอยู่ และนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดจากการใช้ทรัพยากรร่วมกัน โดยเป็นการนำ SPP ที่กระจัดกระจายมารวมกัน ช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งในด้านเครื่องมือ การบำรุงรักษา รวมไปถึงการบริหารจัดการ แผนงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการเจรจา เพื่อให้ได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น รายอื่นจากการวิเคราะห์สินทรัพย์ที่มีอยู่ พบว่าโครงการบางโครงการ เช่น โครงการผลิตและจำหน่าย น้ำประปา อันได้แก่ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของ บผฟ. หรือ ธุรกิจผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ดังนั้น บริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายโครงการเหล่านี้หากได้ราคาอันเหมาะสม ถึงแม้ว่า แผนธุรกิจพลังงานของประเทศไทย ในการจัดสรรโครงการผลิตไฟฟ้าใหม่ ตั้งแต่ปี 2553 ยังไม่ชัดเจน บผฟ. มั่นใจว่าประสบการณ์ของบริษัทในธุรกิจผลิตไฟฟ้ากว่า 11 ปี ประกอบกับความสัมพันธ อันดีระหว่าง บผฟ. กับ กฟผ. จะช่วยให้บริษัทสามารถครอบครองสัดส่วนการตลาดของกำลังการผลิตใหม่นี้ด้วย ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2,426 เมกะวัตต์ โดยร้อยละ 62.4 ของกำลังการผลิตนี้ มาจาก โรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) กำลังการผลิต 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) กำลังการผลิต 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซ ธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกเหนือจากโครงการที่มีอยู่ บริษัทยังมีโครงการหลักซึ่งกำลังอยู่ระหว่าง การพัฒนาอีก 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าขนอม (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 100) ที่บรรจุอยู่ในแผน พัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ปี 2546 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 385 เมกะวัตต์ โดยใช้ ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนมกราคม 2550 ปัจจุบัน บผฟ. อยู่ระหว่างการเจรจา PPA กับ กฟผ. ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 1 ของปี 2547 2) โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 30) แต่เดิมใช้ชื่อเรียกว่า "โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก" กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 25 ปีกับ กฟผ. และมีหมายกำหนดการจ่ายกระแสไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเลือกพื้นที่ตั้ง โครงการที่เหมาะสม และการเจรจา PPA ใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนสถานที่ตั้งและ ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จากเดิมที่จะใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง 3) โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ มีกำลังการผลิต 1,070 เมกะวัตต์ โครงการได้มีการเลื่อนการเซ็นสัญญา PPA ออกไปเป็นเวลา 4 เดือนนับจากกำหนดการเดิม ซึ่งจะมีการเซ็นสัญญาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2546 เนื่องจาก Electricite de France International (EDFI) ซึ่งถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 ได้แถลงข่าวว่าจะขอถอนตัวออกจากโครงการนี้ และเมื่อไม่นานมานี้ EDFI ได้เปลี่ยนเจตนารมย์เดิม โดยตัดสินใจที่จะกลับมาลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 โดย PPA ได้มีการลงนามแล้ว เสร็จในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2546 ที่ผ่านมา และจะสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นปีละ 2 ครั้ง ในอัตรา ประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ หรือไม่ต่ำกว่าจำนวนเงินปันผลในปีที่ผ่านมา (2.50 บาทต่อหุ้น) โดยบริษัทพยายามจะจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับแผนการใช้เงินเพื่อการลงทุนระยะยาวอย่างมีคุณภาพ 2. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน บผฟ. เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวก ในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถหรือยกระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย และเพื่อให้การระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่เป็นไปโดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ดังนั้น ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานเชิงวิเคราะห์จากงบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึง ภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 2.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ ของกลุ่ม บผฟ. ใน 9 เดือนแรกของ ปี 2546 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 4,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,029 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 72 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานช่วงเวลา เดียวกันของปี 2545 กำไรสุทธิงวด 9 เดือน กำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 2546 ปี 2545 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 45 45 (588) (588) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ 3,653 4,062 2,863 2,997 (IPP) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก 259 521 118 152 (SPP) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ 160 127 121 112 (Overseas) กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Others) 76 76 99 99 หมายเหตุ -IPP ประกอบด้วย บฟร. บฟข. -SPP ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบี ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ดกรีน - Overseas ประกอบด้วย โคแนล น้ำเทิน 2 - Others ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ใน 9 เดือนแรก ปี 2546 บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 639 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกัน กับปีที่แล้ว บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 158 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตรา สกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 กันยายน 2546) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2545) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 4,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง เวลาเดียวกันของปีก่อน 1,548 ล้านบาท หรือร้อยละ 59 อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 56 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 34 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 7.98 บาท อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 34 สูงกว่าปี 2545 ซึ่งเท่ากับ ร้อยละ 28 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าค่าใช้จ่าย กล่าวคือ รายได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 32 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 2.2 การวิเคราะห์รายได้ ผลการดำเนินงาน ใน 9 เดือนแรกของ ปี 2546 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไร ในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 12,276 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 เพิ่มขึ้นจำนวน 2,974 ล้านบาท หรือร้อยละ 32 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้รวม: หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 411 231 78% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 7,628 7,200 6% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 3,231 824 292% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 721 753 (4%) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 285 294 (3%) 1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 411 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 180 ล้านบาท หรือร้อยละ 78 ส่วนใหญ่จาก เงินปันผลรับจากกองทุน KTSF 2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 7,628 ล้านบาท แบ่งเป็น * รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 7,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 476 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 โดยแบ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจาก บฟร. 1,060 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟข. ลดลง 584 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไร ส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าใช้จ่ายเงินกู้ และ ค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 4,503 3,442 31% บฟข. 2,950 3,534 (17%) นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตรา แลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยน ต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับ จากการชดเชยจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นเงิน 799 ล้านบาท * รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 174 ล้านบาท ลดลง 50 ล้านบาท หรือร้อยละ 22 สาเหต หลักคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของ บฟร. ลดลง เนื่องจากเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยลดลง 3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 3,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2,407 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 292 สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ดกรีน จำกัด (ร้อยเอ็ดกรีน) โดยมีรายละเอียดดังนี้ * รายได้ค่าไฟฟ้า ของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 3,171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2,394 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 308 รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 1,973 597 230% ทีแอลพี โคเจน 944 - n/a เอพีบี 208 180 16% ร้อยเอ็ดกรีน 46 - n/a ซึ่งส่วนแบ่งรายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้ของ จีอีซี อันเนื่องมาจาก บริษัท หนองแค โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอ็นเคซีซี) และ บริษัท สมุทรปราการ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอสซีซี) ได้เริ่มรับรู้รายได้เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2545 อีกทั้ง ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน ก็เริ่มรับรู้รายได้เป็นปีแรกหลังจากก่อสร้างแล้ว เสร็จในเดือนมกราคม และ เมษายน 2546 ตามลำดับ และ เออีพี มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไฟให้ลูกค้าใน นิคมอุตสาหกรรม * รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 16 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพิ่มจาก ดอกเบี้ยรับ ของจีอีซี จำนวน 11 ล้านบาท ในขณะที่ เอพีบี ทีแอลพีโคเจน และร้อยเอ็ดกรีนมีดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆลดลง 2 ล้านบาท * ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า จำนวน 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 ซึ่งมาจาก เออีพี 4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 721 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 32 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอ เรชั่น(โคแนล) และโครงการน้ำเทิน 2 (Nam Theun 2 Electricity Consortium หรือ เอ็นทีอีซี) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ * รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 712 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1 ซึ่งเกิด จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2546 ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน * รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 32 ล้านบาท ลดลง 4 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 12 * ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 23 ล้านบาท 5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 285 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 8 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ เอ็กคอมธารา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง รายได้ค่าบริการ - เอสโก 173 191 (10%) รายได้ค่าน้ำ - เอ็กคอมธารา 105 92 14% * รายได้ค่าบริการ จำนวน 173 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 18 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10 เนื่องจากเป็นการลดลงของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก กับบริษัทนอกเครือ บผฟ * รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 13 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 เนื่องจากอัตราค่าน้ำและปริมาณการจำหน่ายที่สูงขึ้น * รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 6 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 15 * ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า จำนวน 1 ล้านบาท ลดลง 2 ล้านบาท หรือร้อยละ 65 ซึ่งมาจาก บริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท พลังงานการเกษตร จำกัด 2.3 การวิเคราะห์รายจ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า ใน 9 เดือนแรกของปี 2546 จำนวน 7,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,346 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ ค่าใช้จ่ายรวม: หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 366 788 (54%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 3,975 4,337 (8%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 2,936 713 312% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 351 451 (21%) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 195 186 5% 1) ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. จำนวน 366 ล้านบาท คือค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป 268 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่าย 97 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 423 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไปนั้นลดลง 364 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 58 เนื่องจาก ในปี 2545 มีการด้อยค่าของเงินลงทุนในโครงการบ่อนอก จำนวน 342 ล้านบาท อีกทั้งยังมีผลขาดทุนจากการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า จำนวน 38 ล้านบาท สำหรับดอกเบี้ยจ่าย 9 เดือนแรก ของปี 2546 จำนวน 97 ล้านบาท ลดลง 60 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 38 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ บผฟ. ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ซึ่งเกิดจากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตรา ลอยตัวเป็นอัตราคงที่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 และจากอัตราคงที่เป็นอัตราลอยตัว เมื่อเดือนมกราคม 2546 อีกทั้งจำนวนเงินต้นลดลง 2) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จำนวน 3,975 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 363 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 รายละเอียดดังต่อไปนี้ * ต้นทุนขาย จำนวน 2,265 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 150 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 สาเหตุหลักมาจาก บฟข. มีต้นทุนลดลงจำนวน 261 ล้านบาท เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาที่น้อยลง ในขณะที่ บฟร. มีต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 111 ล้านบาท เนื่องจากมี Major Overhaul ในปีนี้ ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 1,366 1,255 9% บฟข. 899 1,160 (23%) * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 138 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 * ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 1,572 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 211 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 มาจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 119 และ 92 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากเงินต้นลดลง 3) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 2,936 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2,223 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 312 รายละเอียดดังต่อไปนี้ * ต้นทุนขาย จำนวน 2,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,964 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 333 สาเหตุหลักเนื่องจากต้นทุนขายของ จีอีซี เพิ่มขึ้น 1,144 ล้านบาท (ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก เอ็นเคซีซี และ เอสซีซี ซึ่ง สอดคล้องกับรายได้ค่าไฟฟ้าจากทั้ง 2 บริษัทที่เพิ่มขึ้น) นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ดกรีน และ เอพีบี เพิ่มขึ้น 767 ล้านบาท 33 ล้านบาท และ 20 ล้านบาท ตามลำดับ ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย : ล้านบาท 9 เดือนแรก ปี 2546 9 เดือนแรก ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 1,604 460 249% ทีแอลพี โคเจน 767 - n/a เอพีบี 150 130 16% ร้อยเอ็ดกรีน 33 - n/a * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 118 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 58 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 97 สาเหตุหลักมาจาก จีอีซี จำนวน 53 ล้านบาท * ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 265 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 201 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 315 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี จำนวน 131 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนในโครงการ เอ็นเคซีซี และเอสซีซี สำหรับ ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 69 ล้านบาท และ 4 ล้านบาทตามลำดับเนื่องจากมีการเบิกเงินกู้เพิ่มขึ้น ในขณะที่ เอพีบี ลดลง 3 ล้านบาท เนื่องจากเงินต้นลดลง 4) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 351 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 100 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 รายละเอียดดังต่อไปนี้ * ต้นทุนขาย จำนวน 141 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 106 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 43 เกิดจากค่าเสื่อมราคาของโรงไฟฟ้านอร์ธเทิร์น มินดาเนา เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) ที่ลดลงอันเนื่อง มาจากประมาณการการผลิตที่ลดลง * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 30 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 26 * ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 65 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 24 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 27 เนื่องจากเงินต้นลดลง 5) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 9 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 5 รายละเอียดดังต่อไปนี้ * ต้นทุนบริการ จำนวน 94 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 เป็นผลมาจากการลดลงของการให้บริการ บำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก กับบริษัทนอกเครือ บผฟ. ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง * ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 5 มาจาก เอ็กคอมธารา ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 18 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 65 สาเหตุหลักมาจาก เอสโกซึ่งเริ่มจ่ายภาษีเงินได้จำนวน 20 ล้านบาท ในขณะที่ เอ็กคอมธารา ลดลง 1 ล้านบาท * ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 12 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 6 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 32 เนื่องจากเงินต้นคงเหลือและอัตราดอกเบี้ยของ เอ็กคอมธารา ลดลง 3. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 3.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 58,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,266 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2545 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 6,823 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 1,321 ล้านบาท หรือร้อยละ 24 ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงานจำนวน 3,662 ล้านบาท ในขณะที่เงินสดจากกิจกรรม การลงทุนลดลง 674 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนทางการเงิน ของ บผฟ. งานก่อสร้างโครงการทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน และ จีอีซี สำหรับเงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงินลดลง 2,419 ล้านบาท เนื่องจาก มีการจ่ายเงินจ่ายชำระเงินกู้ หุ้นกู้ และ ปันผล และมีการเบิกเงินกู้เพิ่มของ ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน รวมทั้งการปรับโครงสร้างเงินกู้ (รีไฟแนนซ์) ของเอ็นเคซีซี และเอสซีซี 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 11,308 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 897 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 โดยเงินสำรองบางส่วนเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 136 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 916 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 2 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 94 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 ซึ่งเป็นการลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 70 ล้านบาท และส่วนแบ่งผลกำไรจาก เออีพี และ อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำนวน 45 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายของโครงการ น้ำเทิน 2 จำนวน 23 ล้านบาท 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 30,953 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 1,081 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 เนื่องมาจากสาเหตุหลัก จากการตัดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน บผฟ. และ บริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 1,699 ล้านบาท และผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินของทรัพย์สินของบริษัทที่อยู่ ในต่างประเทศ จำนวน 155 ล้านบาท ในขณะที่ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน และ จีอีซี จำนวน 379 ล้านบาท 174 ล้านบาท และ 145 ล้านบาท ตามลำดับ 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 8,139 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 1,050 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้า จำนวน 39 ล้านบาท ลูกหนี้การค้า ที่เกี่ยวข้องกัน (ส่วนใหญ่คือ กฟผ.) จำนวน 686 ล้านบาท และ วัสดุสำรองคลังสุทธิจำนวน 195 ล้านบาท 3.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 33,166 ล้านบาท ลดลง 1,759 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 5 เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ของ บผฟ. บฟร. และ บฟข. ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 30,026 ล้านบาท หรือร้อยละ 91 ของหนี้สินรวม ซึ่งลดลง 2,418 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 413 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 893 ล้านเยน - เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 116 ล้านเปโซ - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 4,167 ล้านบาท - หุ้นกู้ จำนวน 8,911 ล้านบาท ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2546 เงินกู้สกุลบาท เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ รวมทั้งหุ้นกู้ลดลงรวม 2,418 ล้านบาท จากการชำระคืนเงินต้นของ บผฟ. บฟร. บฟข. และ การรีไฟแนนซ์เงินกู้ ของ จีอีซี ในขณะที่ มีเงินกู้สกุลเยนเพิ่มขึ้น 89 ล้านบาท มาจากการเบิกเงินกู้ในการสร้างโรงไฟฟ้าร้อยเอ็ด กรีน และการ เบิกเงินกู้ในการสร้างโรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน จำนวน 448 ล้านบาท 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 3,140 ล้านบาทหรือร้อยละ 9 ส่วนใหญ่ ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น 842 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้า 512 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 679 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่าย 160 ล้านบาท ปันผลค้างจ่าย 25 ล้านบาท และ อื่นๆ 433 ล้านบาท บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรอง เพื่อภาระผูกพันในการชำระหนี้ไว้ในอัตราร้อยละ 25 ของภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและ บริษัทร่วม เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถนำเงินที่สำรองนี้มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่ กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระผูกพันดังกล่าว ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกัน ของ บผฟ. ดังกล่าวเป็นจำนวน 400 ล้านบาท และมีส่วนที่ต้องสำรองเพิ่มอีกซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 105 ล้านบาท 3.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (ส่วนของสินทรัพย์สุทธิของ บริษัทย่อยที่ไม่ใช่ส่วนของ บผฟ.ทั้งทางตรงและทางอ้อม) และไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว เป็นเงินจำนวน 24,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 4,025 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจาก ผลการดำเนินงาน จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 สรุปได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 24,972 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 หนี้สิน จำนวน 33,166 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 57 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้ - อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.33 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.67 เท่า - มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 47.55 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 39.89 บาท 4. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 เงินสดและ รายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็นเงินจำนวน 2,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นงวด 559 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียด ของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 3,662 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรสุทธิ ปรับด้วยรายการที่ไม่ใช่เงินสด และรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน โดยบริษัทมีเงินสดจากการ ดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในเงินทุนหมุนเวียน เพิ่มขึ้น 5,866 ล้านบาท และมีการเปลี่ยนแปลงกระแส เงินทุนหมุนเวียนลดลง 2,204 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เกิดจากการสำรองเงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ต่างประเทศ ของ บฟร. บฟข. และ จีอีซี จำนวน 1,324 ล้านบาท และการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้าและลูกหนี้การค้ากิจการ ที่เกี่ยวข้องกันจากการขายไฟของ บฟร. บฟข. ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน ซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่ คือ กฟผ. จำนวน 736 ล้านบาท และสำรองวัสดุคงคลังเพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 674 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดใช้ไปในการลงทุน ทางการเงินจำนวน 324 ล้านบาท การลงทุนเพิ่มในการสร้างโรงไฟฟ้าทีแอลพี โคเจน และ โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ด กรีน จำนวน 310 ล้านบาทและ 111 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัท จัดการและพัฒนา ทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก และ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล จำนวน 36 ล้านบาท และ 324 ล้านบาท ตามลำดับ - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปจากกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 2,419 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักคือ การชำระคืนเงินกู้ และหุ้นกู้ของ บผฟ. บฟร. และ บฟข. จำนวน 635 ล้านบาท 788 ล้านบาท และ 591 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้ง บผฟ. จ่ายเงินปันผลหุ้นสามัญจำนวน 1,284 ล้านบาท ในขณะที่มีการกู้เงินของ บผฟ. เพื่อปล่อยกู้ให้ จีอีซี นำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ระยะสั้น จำนวน 434 ล้านบาท การลดทุนของเอสโกจำนวน 100 ล้านบาท การเบิกเงินกู้เพิ่มของ ทีแอลพี โคเจน 406 ล้านบาท และ ร้อยเอ็ด กรีน 89 ล้านบาท และการปรับสัญญา เงินกู้กับสถาบันการเงินของ จีอีซี ในโครงการเอ็นเคซีซี และ โครงการเอสซีซี ทำให้มีเงินกู้เพิ่มสุทธ จำนวน 367 ล้านบาท 1