16 August 2004
คำอธิบายงบการเงินไตรมาสที่ 2
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงาน ครึ่งปีแรก ปี 2547
สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2547
หมายเหตุ:บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลและแสดง
วิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน
ของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ
ตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและคำอธิบายถึง
สถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตาม
ปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการ
พิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่
ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
โทร. 02-998-5131-2 หรือ email : ir@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ (บผฟ.) เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแส
ไฟฟ้า ให้บริการในด้านเดินเครื่องและบำรุงรักษาแก่โรงไฟฟ้าต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
บผฟ. มีแผนการเพิ่มสัดส่วนของตลาดผลิตไฟฟ้า จากการพัฒนาหรือซื้อโครงการจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP)
ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ และคำนึงถึงประสบการณ์
และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ ด้วยต้นทุนที่ประหยัดต่อขนาด ผลตอบแทนการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ
ได้ของโครงการ นอกจากนั้น บผฟ. มุ่งเน้นในการนำมาซึ่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการ
เพิ่มผลกำไรจากการบริหารที่มีประสิทธิภาพและการจัดการบรรษัทภิบาลแล้ว บริษัทยังตระหนักถึงการมีจิตสำนึก
ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
ณ ปลายเดือนกรกฎาคม 2547 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 25,407 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งร้อยละ 9.4
ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในปี 2547 นี้ ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือน
มีนาคมที่ 19,326 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 6.65 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด
ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมของปี 2546 เนื่องจากสภาวะความต้องการไฟฟ้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นเพื่อรักษาความมั่นคงต่อระบบไฟฟ้า บริษัทคาดการณ์ไว้ว่าประเทศไทยจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น
ระหว่างปี 2554-2558 อีกประมาณ 13,000-14,000 เมกะวัตต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการเริ่มเปิดประมูลเพื่อสร้าง
โรงไฟฟ้าใหม่เหล่านั้นในเร็วนี้ ทั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีให้ บผฟ. สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดของกำลังผลิตใหม่ที่
เพิ่มขึ้นนี้ด้วย
/1 ข้อมูลนี้มาจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 12 โรง โดยร้อยละ 85 ของ
กำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์
และโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรง
ไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากโครงการที่มีอยู่นั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการอีก 2
โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งในส่วนของ บผฟ. จำนวนรวม 617.5 เมกะวัตต์ ได้แก่
1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50) จังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ โดยใช้
ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก เดิมใช้ชื่อว่า "โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก" โดยมีกำหนดการจ่ายกระแสไฟฟ้า
ในเดือนมีนาคม 2551 /2 ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการเจรจาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่กับ กฟผ.
เนื่องจากมีการเปลี่ยนสถานที่และเชื้อเพลิงการผลิต นอกเหนือจากกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2
จำนวน 700 เมกะวัตต์ที่กล่าวข้างต้นนั้น ณ วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 คณะกรรมการนโยบายพลังงาน
แห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบให้บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจนเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาโครงการ
แก่งคอย 2 ขยายขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 1,468 เมกะวัตต์ /3 เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า
2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25) ประเทศลาว ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ มีกำลังผลิต
1,070 เมกะวัตต์ ได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2546 และมีกำหนดจำหน่าย
กระแสไฟฟ้าได้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน
โครงการอยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้ในรูปแบบต่างๆจากธนาคารไทย ธนาคารต่างประเทศ และองค์กรระหว่าง
ประเทศ
ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราประมาณร้อยละ 40
ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่นโอกาสการขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆ
ในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะทางการเงิน และหากการจ่ายเงินปันผลนั้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติ
ของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ
/2 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2547 - 2558 (PDP 2003 : ฉบับปรับปรุง)
/3 ข้อมูลนี้มาจากกระทรวงพลังงาน
2. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
บผฟ. เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและ
ครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย
บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวก
ในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถหรือยกระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย
และเพื่อให้การระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่เป็นไปโดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
เมื่อ ปี พ.ศ. 2546 กลุ่มบริษัทได้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 51 เรื่องสินทรัพย์ไม่มีตัวตนและ
ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี 2 นโยบาย ได้แก่ นโยบายเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษาหลักและค่าใช้จ่าย
ในการพัฒนาโครงการ เพื่อวัตถุประสงค์ในการแสดงรายการเปรียบเทียบจึงได้มีการปรับปรุงงบการเงินรวม
และงบการเงินเฉพาะบริษัท ระหว่างกาลสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ย้อนหลัง
ซึ่งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่องบดุลรวมและงบดุลเฉพาะบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายน
พ.ศ. 2546 และงบกำไรขาดทุนรวมและงบกำไรขาดทุนเฉพาะบริษัทสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30
มิถุนายน พ.ศ. 2546 มีดังนี้
30 มิถุนายน พ.ศ. 2546
งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท
พันบาท พันบาท
งบดุล
เงินลงทุนในบริษัทย่อย เพิ่มขึ้น - 964,217
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า สุทธิ ลดลง (539,438) (821,028)
วัสดุสำรองคลัง สุทธิ เพิ่มขึ้น 7,774 -
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สุทธิ เพิ่มขึ้น 956,443 -
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น สุทธิ ลดลง (281,590) -
กำไรสะสมปลายงวด ณ วันที่ 30 มิถุนายน
พ.ศ. 2546 เพิ่มขึ้น 143,189 143,189
30 มิถุนายน พ.ศ. 2546
งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท
พันบาท พันบาท
งบกำไรขาดทุน
ต้นทุนขาย ลดลง 964,217 -
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น (111,108) -
ผลขาดทุนจากการด้อยค่า เพิ่มขึ้น (170,482) (66,133)
ส่วนแบ่งผลกำไรในบริษัทย่อย
และกิจการร่วมค้า เพิ่มขึ้น (ลดลง) (539,438) (209,322)
กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 143,189 143,189
ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็น
ถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
2.1 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. สำหรับครึ่งปีแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 เป็นจำนวน
ทั้งสิ้น 2,516 ล้านบาท ลดลง 702 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนิน
งานของช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2546
หน่วย : ล้านบาท
กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2547 กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2546
ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX
บผฟ. 195 206 (120) (120)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 2,317 2,197 3,559 3,720
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 131 13 (87) 6
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 50 49 (431) (434)
กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Others) 52 52 46 46
หมายเหตุ: - IPP ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - SPP ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพีโคเจน
ร้อยเอ็ดกรีน
- Overseas ประกอบด้วย โคแนล น้ำเทิน 2- Others ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา
ในครึ่งปีแรก ปี 2547 บริษัทมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 228 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้ว บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 251 ล้านบาท
ทั้งนี้กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้น
จากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท
ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 มิถุนายน 2547) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2546)
หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,745 ล้านบาท ลดลงจาก
ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 222 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีใหม่จำนวน 213 ล้านบาท อัตราแลกเปลี่ยนและภาษีเงินได้ กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ.
สำหรับครึ่งปีแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2547 เป็นจำนวน 3,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 210 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2546
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้
- อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 55
- อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 33
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 5.22 บาท
อัตรากำไรสุทธิในครึ่งปีแรก ปี 2547 (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 33 นั้นต่ำกว่า
ครึ่งปีแรกปี 2546 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 40 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีในปี 2546
โดยที่อัตราการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้ กล่าวคือ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 27
ในขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12
2.2 การวิเคราะห์รายได้
ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ปี 2547 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไรในเงินลงทุนในบริษัท
ร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 8,421 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี
2546 เพิ่มขึ้นจำนวน 918 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายได้รวม: หน่วย : ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
บผฟ. 388 139 179%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 5,053 5,097 (1%)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 2,340 2,053 14%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 371 (25) 1,566%
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 269 239 13%
1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 388 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 249 ล้านบาท หรือร้อยละ 179
ส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น
ผสมตราสารหนี้ปันผล (KTSF) จำนวน 305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240 ล้านบาท เงินปันผลรับจากหลักทรัพย์
ในความต้องการตลาด จำนวน 40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 34
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18 ล้านบาท จากการให้กู้ยืมแก่ จีอีซี จำนวน 8 ล้านบาท และโครงการน้ำเทิน 2
จำนวน 5 ล้านบาท อีกทั้งปริมาณเงินฝากธนาคารเพิ่มขึ้น ในขณะที่ รายได้อื่นๆ จำนวน 4 ล้านบาท
ลดลง 12 ล้านบาท
2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 5,053 ล้านบาท
แบ่งเป็น
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 4,967 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 5 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.1
โดยแบ่งเป็นการลดลงจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟร. 323 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า
(Capacity Rate) ที่ลดลง ในขณะที่ บฟข. มีรายได้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 318 ล้านบาท เนื่องจาก
อัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า
ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าใช้จ่ายเงินกู้
และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้า
ในแต่ละงวด
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย : ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 2,690 3,013 (11%)
บฟข. 2,277 1,959 16%
นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจาก
อัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการ
บำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้
รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้า
ลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลัก
ได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 502 ล้านบาท
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 86 ล้านบาท ลดลง 39 ล้านบาท หรือร้อยละ 31 สาเหตุหลัก
คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 31 ล้านบาท เนื่องจากเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยลดลง
3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 2,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 287 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย
5 บริษัท คือ บริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี)
บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน)
และ บริษัท ร้อยเอ็ดกรีน จำกัด (ร้อยเอ็ดกรีน) โดยมีรายละเอียดดังนี้
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 2,322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 316 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 16
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี. 1,331 1,299 2%
ทีแอลพี โคเจน 784 567 38%
เอพีบีพี 139 136 2%
ร้อยเอ็ดกรีน 69 5 1,346%
รายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจาก ทีแอลพี โคเจน จำนวน 217 ล้านบาท ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้หลังจาก
ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546 และ ร้อยเอ็ดกรีนที่เริ่มรับรู้รายได้หลังจากก่อสร้าง
แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 64 ล้านบาท
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 13 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท
* ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 5 ล้านบาท ลดลง 31 ล้านบาท เมื่อ
เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2546 เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงรักษาหลัก
4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 371 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 396 ล้านบาท สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศประกอบด้วย บริษัท
โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น(โคแนล) และโครงการน้ำเทิน 2 (Nam Theun 2 Power Co.,
Ltd. หรือ เอ็นทีพีซี) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 371 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 138 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 27
ซึ่งเกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในครึ่งปีแรก ปี 2547 ต่ำกว่าปี 2546 เนื่องจากการโอนโรง
ไฟฟ้านอร์ธเทิร์นมินดาเนา เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) จำนวน 58 เมกะวัตต์
ออกไปให้กับ เนชั่นแนล เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นพีซี) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2546
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท หรือ
คิดเป็นร้อยละ 5
* ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ในครึ่งปีแรก ปี 2547 เท่ากับ 24 ล้านบาท
ลดลง 532 ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2546 ซึ่งมีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายในการพัฒนา
โครงการน้ำเทิน 2 ตามนโยบายบัญชีใหม่ โดยมีส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 506 ล้านบาท
5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 269 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 30
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ บริษัท เอ็กโก
เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา)
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย : ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
รายได้ค่าบริการ - เอสโก 184 168 10%
รายได้ค่าน้ำ - เอ็กคอมธารา 78 68 15%
* รายได้ค่าบริการ จำนวน 184 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 16 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 10 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก
กับ โรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน
* รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน
10 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 เนื่องจากอัตราค่าน้ำและปริมาณการจำหน่ายที่มากขึ้น และเป็นไปตาม
ที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท หรือ คิดเป็น
ร้อยละ 47 ส่วนใหญ่จากรายได้อื่นๆของ เอสโก
* ส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า จำนวน 2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท ซึ่งมาจาก บริษัท
อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด ในขณะที่บริษัท พลังงานการเกษตร จำกัด (เออี)
รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจำนวน 0.49 ล้านบาท ซึ่งทำให้ส่วนได้เสียในเออีมีมูลค่าเท่ากับศูนย์
2.3 การวิเคราะห์รายจ่าย
ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า ในครึ่งปีแรก ปี 2547 จำนวน
5,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,194 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 27 แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ
ดังต่อไปนี้
ค่าใช้จ่ายรวม :หน่วย:ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
บผฟ. 193 259 (26%)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 2,736 1,538 78%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 2,188 2,126 3%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 232 251 (8%)
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 205 185 11%
1) ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. จำนวน 193 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป 160 ล้านบาท
และดอกเบี้ยจ่าย 33 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายของ บผฟ. นั้นลดลงจากปีก่อนรวมทั้งสิ้น 66 ล้านบาทสาเหตุ
หลักจากดอกเบี้ยจ่ายซึ่งลดลง 37 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหาร
ทั่วไปลดลง 30 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 16
2) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จำนวน 2,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง
เดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,198 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนนโยบายบัญชี
รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 1,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,118 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 302 สาเหตุหลักมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้นย้อนหลังก่อนปี 2546 จากการเปลี่ยนนโยบาย
บัญชีใหม่ดังกล่าว ทำให้ บฟร. มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจำนวน 681 ล้านบาท และ บฟข. มีต้นทุนเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น
437 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นย้อนหลังก่อนปี 2546 จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี
บฟร. มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 152 ล้านบาท เนื่องจากงานซ่อมบำรุงรักษาหลัก และ บฟข. มีต้นทุนลดลง 6
ล้านบาท
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) หน่วย : ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 876 195 350%
บฟข. 612 175 249%
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 212 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 215 สาเหตุหลักจากภาษีของ บฟร. จำนวน 199 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่ วันที่ 20 เมษายน
2546 บฟร. จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ
50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 โดยระยะเวลาที่ บฟร.
ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีกำหนด 8 ปีนับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้นได้
สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2546
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 937 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 133 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 12 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 74 ล้านบาท และ 58 ล้านบาท
ตามลำดับ เนื่องจากเงินต้นของเงินกู้ลดลง
3) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
จำนวน 62 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 1,860 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 277 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 17 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ จีอีซี ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 134 ล้านบาท เนื่องจากการบำรุง
รักษาหลักและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี และทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 113 ล้านบาท
ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีต้นทุนขาย ร้อยเอ็ดกรีน เพิ่มขึ้น 28 ล้านบาท และ
เอพีบีพี เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท
ครึ่งปีแรก ปี 2547 ครึ่งปีแรก ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี. 1,139 1,005 13%
ทีแอลพี โคเจน 586 473 24%
เอพีบีพี 100 98 2%
ร้อยเอ็ดกรีน 36 8 344%
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 185 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนทั้งสิ้น 182 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 50 สาเหตุหลักมาจาก จีอีซี ซึ่งลดลงทั้งสิ้น 204 ล้านบาท เนื่องจากมีการตัดจ่ายค่าพัฒนา
โครงการบ่อนอกที่เกิดขึ้น ก่อนปี 2546 จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี จำนวน 103 ล้านบาท
และมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของที่ดินและค่าความนิยมซึ่งเกิดจากการซื้อโครงการบ่อนอก จำนวน
170 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบจากนโยบายบัญชีดังกล่าวแล้ว สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2547 นั้น
จีอีซี มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 69 ล้านบาท ส่วนทีแอลพี โคเจน มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท
ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเริ่มรับรู้รายได้หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28
มกราคม 2546
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 143 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 33 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 19 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี จำนวน 37 ล้านบาท
เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลงและอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการ Refinance เงินกู้บางส่วน สำหรับ
ร้อยเอ็ดกรีน ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 5 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกเงินกู้เพิ่มขึ้น ในขณะที่
ดอกเบี้ยจ่ายของ เอพีบีพี ลดลง 1 ล้านบาท เนื่องจากเงินต้นลดลง
4) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 232 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 19 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 83 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 24 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 22 เกิดจากค่าเสื่อมราคาของโรงไฟฟ้า เอ็นเอ็มพีซี ที่ลดลงอันเนื่องมาจากประมาณการ
การผลิตที่ลดลงและโอนโรงไฟฟ้าจำนวน 58 เมกะวัตต์ ให้กับเอ็นพีซี
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 14 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 35 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 9 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 20 เนื่องจากเงินต้นลดลง
5) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 205 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 20 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนบริการ จำนวน 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เป็นผลมาจาก
การเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
(ยังมีต่อ)