EN | TH
28 February 2005

ทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ปี 2547

สำหรับ จีอีซี มีค่าใช้จ่ายลดลง 14 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2546 มีการตัดจ่าย ค่าพัฒนาโครงการบ่อนอกที่เกิดขึ้นก่อนปี 2546 จำนวน 103 ล้านบาท การตัดจำหน่าย การด้อยค่าที่ดินโครงการบ่อนอกจำนวน 104 ล้านบาท ในขณะที่ ปี 2547 มีการปรับปรุง ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของที่ดินโครงการบ่อนอกซึ่งได้ตัดจำหน่ายไปแล้ว (Write-back) จำนวน 44 ล้านบาท ทั้งนี้หากไม่รวมผลกระทบดังกล่าว สำหรับปี 2547 นั้น จีอีซี มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 238 ล้านบาท ส่วนใหญ่เนื่องจากค่าใช้จ่ายของโครงการแก่งคอย 2 อาทิ ค่าพัฒนาโครงการ ค่างานมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ การทำธุรกรรมซื้อขาย เงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) และค่า Standby Letter of Credit เป็นต้น และการตัดจำหน่ายค่าความนิยมของ บริษัท หนองแคโคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอ็นเคซีซี) และ บริษัท สมุทรปราการโคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอสซีซี) จำนวน 54 ล้านบาท - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 297 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 50 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี จำนวน 54 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลงและอัตราดอกเบี้ยลดลงจากการ Refinance เงินกู้บางส่วน ส่วนดอกเบี้ยจ่ายของ ทีแอลพีโคเจน และเอพีบีพี ลดลง 2 ล้านบาท และ 1 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากเงินต้นลดลง ในขณะที่ ร้อยเอ็ดกรีน ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 6 ล้านบาท เนื่องจากมีการเบิกเงินกู้เพิ่มขึ้น 4) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 581 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน จำนวน 61 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 รายละเอียดดังต่อไปนี้ - ต้นทุนขาย จำนวน 229 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 7 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 เกิดจากค่าเสื่อมราคาของโรงไฟฟ้า เอ็นเอ็มพีซี ที่ลดลงอันเนื่องมาจาก ประมาณการการผลิตที่ลดลงและโอนโรงไฟฟ้าจำนวน 58 เมกะวัตต์ ให้กับเอ็นพีซี - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 279 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 79 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 40 เนื่องจากสิทธิการลดหย่อนภาษีเงินได้ นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนของ โรงไฟฟ้าเวสเทิร์น มินดาเนา เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (ดับบลิวเอ็มพีซี) และ โรงไฟฟ้าเซาท์เทิร์น ฟิลิปปินส์ เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (เอสพีพีซี) เป็นเวลา 6 ปี สิ้นสุดลงในปี 2546 - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 73 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 11 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 เนื่องจากเงินต้นลดลง 5) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 420 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน จำนวน 114 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 37 รายละเอียดดังต่อไปนี้ - ต้นทุนบริการ จำนวน 269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99 ล้านบาท หรือร้อยละ 58 เป็นผล มาจากการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก ซึ่งสอดคล้อง กับรายได้ที่เพิ่มขึ้น - ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 55 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 มาจาก เอ็กคอมธารา เนื่องจากค่าบำรุงรักษาลดลง - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน จำนวน 22 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 34 สาเหตุหลักจาก เอสโก ซึ่งสอดคล้องกับ รายได้ที่เพิ่มขึ้น - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 10 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 5 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 35 เนื่องจากเงินต้นคงเหลือและอัตราดอกเบี้ยของ เอ็กคอมธารา ลดลง 3. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 3.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวมจำนวน 55,066 ล้านบาท ลดลง 1,370 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 เมื่อ เทียบกับสิ้นปี 2546 โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของ ตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 7,340 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของ สินทรัพย์รวม ลดลง 476 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 ส่วนใหญ่มาจากเงินฝากสถาบันการเงิน และหลักทรัพย์ในความต้องการตลาดระยะสั้นลดลงจำนวน 854 ล้านบาท เงินลงทุน ระยะยาวในหลักทรัพย์ในความต้องการตลาดและอื่นๆ ลดลง จำนวน 580 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนเพิ่มในโครงการของ จีอีซี และการให้เงินกู้ยืมแก่ เอ็นทีพีซี ประกอบกับราคาตลาดที่ลดลงของหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ในขณะที่เงินสดและ รายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้น 958 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 7,419 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 2,535 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 สาเหตุหลักเนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 เจ้าหนี้เงินกู้ของ บฟข. ได้อนุมัติการยกเลิก การกันเงินสำรองในบัญชีหลักประกัน Foreign Exchange Reserved Account (FEXRA) จำนวน 27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอนุมัติให้นำหนังสือค้ำประกันธนาคารไปวาง แทนเงินสำรองในบัญชีหลักประกัน Debt Service Reserved Account (DSRA) จำนวน 12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับ บฟร. ยังคงมีการกันเงินสำรองในบัญชี FEXRA เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 398 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 สาเหตุหลักมาจากโครงการน้ำเทิน 2 รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการตัดจ่าย ค่าพัฒนาโครงการตามนโยบายบัญชีใหม่จำนวน 25 ล้านบาท ในขณะที่รับรู้ส่วนแบ่ง กำไรจาก เออีพี และ อเมสโก จำนวน 53 ล้านบาท และ 1 ล้านบาท ตามลำดับ 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์สุทธิ จำนวน 31,283 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 260 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 สาเหตุจากการตัดค่าเสื่อม ราคาของสินทรัพย์ บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 2,440 ล้านบาท และการโอน วัสดุสำรองหลักที่ไม่ได้ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ บฟข. จีอีซี บฟร. และ ทีแอลพีโคเจน จำนวน 336 ล้านบาท 196 ล้านบาท 96 ล้านบาท และ 6 ล้านบาท ตามลำดับ ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของโรงไฟฟ้าของ จีอีซี จำนวน 11 ล้านบาท และ ผลกระทบจากการแปลงค่างบการเงินของสินทรัพย์ของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ ลดลงจำนวน 31 ล้านบาท ในขณะที่สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพิ่มเติมของ จีอีซี จำนวน 2,147 ล้านบาทและอื่นๆ จำนวน 359 ล้านบาท และการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นต้นทุนของสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาของ บฟร. บฟข. และ ทีแอลพีโคเจน จำนวน 110 ล้านบาท 234 ล้านบาทและ 7 ล้านบาท ตามลำดับ 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 8,626 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของสินทรัพย์ รวม เพิ่มขึ้น 1,871 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของ ลูกหนี้การค้า และ ลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 714 ล้านบาท เงินให้กู้ยืม ระยะยาวของ บผฟ. แก่ จีอีซี จำนวน 175ล้านบาท เอ็นทีพีซี จำนวน 464 ล้านบาท วัสดุสำรองคลังเพิ่มขึ้น 558 ล้านบาท และสินทรัพย์อื่นเพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท 3.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 25,963 ล้านบาท ลดลง 3,772 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 เนื่องจากการชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ของ บผฟ. บฟร. และ บฟข. 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 23,933 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ของหนี้สินรวม ซึ่งลดลง 3,980 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 โดยมีรายละเอียดเป็น เงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 324 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 1,163 ล้านเยน - เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 87 ล้านเปโซ - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 5,390 ล้านบาท - หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 5,558 ล้านบาท ในปี 2547 เงินกู้สกุลบาท ดอลลาร์สหรัฐฯ และ เปโซ รวมทั้งหุ้นกู้ลดลงรวม 5,178 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการชำระคืนเงินต้นของ บผฟ. บฟร. บฟข. เอพีบีพี ทีแอลพีโคเจน โคแนล เอ็กคอมธารา และ การรีไฟแนนซ์เงินกู้ ของ จีอีซี ในขณะที่มี เงินกู้สกุลเยนเพิ่มขึ้น 57 ล้านบาท มาจากการเบิกเงินกู้ในการสร้างโรงไฟฟ้า ร้อยเอ็ด กรีน 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,030 ล้านบาทหรือร้อยละ 8 ของหนี้สินรวม ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น 75 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้า 476 ล้านบาท เจ้าหนี้และเจ้าหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน 185 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 152 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ค้างจ่าย 482 ล้านบาท เงินปันผล ค้างจ่าย 41 ล้านบาท และ อื่นๆ 620 ล้านบาท 3.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว เป็นเงิน จำนวน 29,103 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 2,402 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน ในขณะที่กำไรที่ยังไม่รับรู้จากการปรับมูลค่าการลงทุน ในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ลดลงทั้งสิ้น 847 ล้านบาท สาเหตุจากการปรับ ตัวลดลงของราคาตลาดของหลักทรัพย์ในความต้องการตลาด จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 สรุปได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 29,103 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.85 หนี้สิน จำนวน 25,963 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.15 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้ - อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.89 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.11 เท่า - มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 53.55 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2546 ซึ่ง อยู่ที่ระดับ 49.21 บาท 4. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรม ลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่า คงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็นเงินจำนวน 2,688 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นงวดจำนวน 958 ล้านบาท ซึ่งมี รายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 8,534 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเงินสดที่ได้จากดำเนินงาน 6,968 ล้านบาท และเงินลงทุนระยะสั้น และยาวที่ใช้เป็นหลักประกันลดลง 2,482 ล้านบาท ในขณะที่ลูกหนี้การค้าที่เกี่ยวข้องกัน เพิ่มขึ้น 708 ล้านบาท และวัสดุสำรองคลังเพิ่มขึ้น 485 ล้านบาท - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 1,974 ล้านบาท โดยลงทุนใน การก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ จีอีซี จำนวน 2,101 ล้านบาท และ บผฟ. ให้กู้ยืมเงินแก่ จีอีซี และเอ็นทีพีซี จำนวน 175 ล้านบาท และ 464 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ ได้รับเงินสดจากการจำหน่ายเงินลงทุนระยะสั้นและเงินลงทุนระยะยาว จำนวน 582 ล้านบาท และ ได้รับเงินปันผลจากบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก และ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล จำนวน 40 ล้านบาท และ 428 ล้านบาท ตามลำดับ - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 5,605 ล้านบาท เนื่องจาก สาเหตุหลักคือ การชำระคืนหุ้นกู้ บผฟ. การชำระคืนเงินกู้ของ บฟร. บฟข. ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ดกรีน เอพีบีพี และจีอีซี จำนวน 5,862 ล้านบาท และการจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 1,571 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกเงินกู้เพิ่มของ จีอีซี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน จำนวน 2,074 ล้านบาท