EN | TH
12 May 2005

ทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ไตรมาสที่ 1/2548

หลักทรัพย์ในความต้องการตลาดระยะสั้นซึ่งเพิ่มขึ้นจำนวน 230 ล้านบาท เงินลงทุน ระยะยาวในหลักทรัพย์ในความต้องการตลาดและอื่นๆเพิ่มขึ้น จำนวน 35 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 7,684 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 265 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 โดย ในไตรมาสนี้ เจ้าหนี้เงินกู้ของ บฟร. ได้อนุมัติการลดระดับเงินสำรองในบัญชี หลักประกัน Foreign Exchange Reserve Account (FEXRA) ลงเหลือ 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอนุมัติให้นำหนังสือค้ำประกันธนาคารไปวางแทนเงินสำรองใน บัญชีหลักประกัน Debt Service Reserve Account (DSRA) จำนวน 13.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 3) เงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 414 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 16 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 เกิดจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก เออีพี 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์สุทธิ จำนวน 31,035 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 248 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 สาเหตุจากการตัดค่าเสื่อม ราคาของสินทรัพย์ บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 614 ล้านบาท และการโอนวัสดุ สำรองหลักที่ไม่ได้ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ ทีแอลพีโคเจน และ บฟข. จำนวน 23 ล้านบาท และ 7 ล้านบาทตามลำดับ ในขณะที่สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ มาจาก การก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมของ จีอีซี จำนวน 208 ล้านบาท การบันทึกวัสดุ สำรองหลักเป็นต้นทุนของสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาของ บฟร. และ ทีแอล พีโคเจน จำนวน 106 ล้านบาท และ 28 ล้านบาท ตามลำดับ และ ผลกระทบจากการ แปลงค่างบการเงินของสินทรัพย์ของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จำนวน 31 ล้านบาท 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 8,557 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของสินทรัพย์ รวม ลดลง 69ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของลูกหนี้การค้า และลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกันจำนวน 605 ล้านบาท ในขณะที่เงินให้กู้ยืม ระยะยาวของ บผฟ. แก่ เอ็นทีพีซี เพิ่มขึ้นจำนวน 236 ล้านบาท และสินทรัพย์อื่นๆ เพิ่มขึ้น 300 ล้านบาท 4.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 26,268 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 304 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 เนื่องจากดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เพิ่มขึ้นและการเบิกจ่ายเงินกู้ เพิ่มเติม ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 24,068 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ของ หนี้สินรวม เพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุล ต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 321 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 1,115 ล้านเยน - เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 87 ล้านเปโซ - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 5,657 ล้านบาท - หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 5,558 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2548 เงินกู้สกุลบาทเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 267 ล้านบาทจากการ เบิกจ่ายเงินกู้ในการสร้างโรงไฟฟ้าของ จีอีซี ในขณะที่ เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และ เยน ลดลงรวมทั้งสิ้น 138 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากการชำระคืนเงินต้นของ ทีแอลพีโคเจน จีอีซี ร้อยเอ็ดกรีน และ เอพีบีพี ส่วนหุ้นกู้สกุลบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,200 ล้านบาทหรือร้อยละ 8 ของหนี้สินรวม ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น 115 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้า 467 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน 62 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 479 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ค้างจ่าย 514 ล้านบาท เงินปันผลค้างจ่าย 13 ล้านบาท และ อื่นๆ 550 ล้านบาท 4.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว เป็นเงิน จำนวน 30,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 1,617 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลัก คือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 สรุปได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 30,720 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53.91 หนี้สิน จำนวน 26,268 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 46.09 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้ - อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.86 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2547 ซึ่ง อยู่ที่ระดับ 0.89 เท่า - มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 56.46 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 53.55 บาท 5. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการ เทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 เงินสดและรายการเทียบเท่า คงเหลือ เป็นเงินจำนวน 3,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นงวดจำนวน 1,693 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 2,034 ล้านบาท ส่วน ใหญ่มาจากเงินสดที่ได้จากดำเนินงาน 2,043 ล้านบาท และการเปลี่ยนแปลงใน สินทรัพย์และหนี้สินหมุนเวียนลดลง 9 ล้านบาท - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 504 ล้านบาท โดยลงทุนในเงิน ฝากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจำนวน 304 ล้านบาท เงินลงทุนในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ของ จีอีซี จำนวน 181 ล้านบาท และ บผฟ. ให้กู้ยืมเงินแก่ เอ็นทีพีซี จำนวน 232 ล้านบาท ในขณะที่ได้รับเงินสดจากการจำหน่ายเงินลงทุนระยะสั้น จำนวน 69 ล้านบาท และได้รับเงินปันผลจากบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก กองทุน เปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผลและกองทุนเปิดอื่นๆ จำนวน 61 ล้านบาท 91 ล้านบาท และ 14 ล้านบาทตามลำดับ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 165 ล้านบาท เนื่องจาก สาเหตุหลักคือการเบิกเงินกู้เพิ่มของ จีอีซี จำนวน 372 ล้านบาท ในขณะที่มีการชำระ คืนเงินกู้ของ ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ดกรีน เอพีบีพี และจีอีซี จำนวน 193 ล้านบาท