EN | TH
11 August 2005

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ครึ่งปีแรกปี 2548

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ครึ่งปีแรก ปี 2548 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2548 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อ นำเสนอข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความ เข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการ การกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอ ข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปใน อนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสาร ข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุน สัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-2 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ซึ่งมี กำลังผลิตติดตั้ง ณ ปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 12 โรง และมีโครงการสำคัญที่กำลังพัฒนา 2 โครงการ คือ โครงการน้ำเทิน 2 ภายหลัง จากที่ ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) พร้อมกลุ่มสถาบันทางการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์และองค์กร ระหว่างประเทศได้ให้การสนับสนุนโครงการอันนำไปสู่การเบิกเงินกู้งวดแรกเป็นจำนวน เทียบเท่า 238 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 และ โครงการแก่งคอย 2 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อน (Conditions Precedent) สำหรับ การเบิกเงินกู้ครั้งใหญ่งวดต่อไปจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ณ ครึ่งปีแรก ปี 2548 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,339 ล้านบาท ลดลง 178 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตรา แลกเปลี่ยนแล้ว ในครึ่งปีแรก ปี 2548 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 2,722 ล้านบาท ลดลง จากครึ่งปีแรก ปี 2547 จำนวน 23 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 สาเหตุเกิดจาก - บผฟ. มีกำไรสุทธิเท่ากับ 56 ล้านบาท ลดลง 115 ล้านบาท เนื่องจาก เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลง - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 2,280 ล้านบาท ลดลง 37 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟที่ลดลงซึ่งเป็นไปตามประมาณการ - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 18 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ จีอีซี ทีแอลพีโคเจน และ ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงของ ทีแอลพีโคเจน - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 111 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 47 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นและการปรับปรุง ภาษีเงินได้รอการตัดจ่ายของปี 2547ของโคแนล - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 64 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer "IPP") แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งแปรรูปมาจากส่วนของการผลิตบางส่วนของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) หรือ กฟผ. (ชื่อเดิมคือ ?การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย?) จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้งโดยการลงทุนในบริษัทย่อย หรือบริษัทร่วมต่าง ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์แห่ง การเป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจการ ให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่ง สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสังคม สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ บผฟ. เรามุ่งเน้นการประกอบธุรกิจในการผลิต กระแสไฟฟ้าและจำหน่ายให้ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟระยะยาว นอกจากนั้น เรายัง แสวงหาการลงทุนจากการพัฒนาหรือซื้อโครงการจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งใน ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ ผู้ถือหุ้นโดยการเพิ่มพูนกำไรจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มี คุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ในเดือนมิถุนายน 2548 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,428.56 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งประมาณร้อยละ 9.1 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนเมษายนที่ 20,537.5 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 6.27 เมื่อเทียบกับความต้องการ พลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมของปี 2547 ทางด้านการเปิดประมูลโรงไฟฟ้า ใหม่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2554-2558 นั้น ยังต้องรอนโยบาย จากคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้ง อย่างไรก็ดี บผฟ. ได้ดำเนินการวางแผนโดยอาศัยความร่วมมือ ตลอดจนความเชี่ยวชาญ ของบุคลากรในองค์กรเพื่อเตรียมการประมูลดังกล่าวแล้ว ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 12 โรง ซึ่งร้อยละ 85 ของกำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. ซึ่งมี กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากนี้บริษัท ยังได้ดำเนินการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 3 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้ง ในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,011 เมกะวัตต์ ได้แก่ /1 ที่มา: บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัท ที่ดูแลโครงการคือ บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) ร้อยละ 100) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้มีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิตโรงละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ ปัจจุบันอยู่ ระหว่างการดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขบังคับก่อน (Conditions Precedent) สำหรับการเบิกเงินกู้ครั้งใหญ่งวดต่อไปจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งคาดว่าจะ เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี (บริษัทเจ้าของ โครงการ)) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ ภายหลังจากที่ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) พร้อมกลุ่ม สถาบันทางการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์และองค์กรระหว่างประเทศได้ให้การสนับสนุน โครงการ อันนำไปสู่การเบิกเงินกู้งวดแรกเป็นจำนวนเทียบเท่า 238 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 โครงการนี้มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน พฤศจิกายน 2552 และมีสัญญาขายไฟให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ 3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 47.5) ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 ทำให้ การก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการอยู่ระหว่างการขออนุมัติจาก กฟผ. ให้เลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. จากเดือน สิงหาคม 2548 เป็นวันที่ 1 เมษายน 2549 ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือ หุ้นในอัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น โอกาสการขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆ ในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะ ทางการเงิน และหากการจ่ายเงินปันผลนั้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัท อย่างมีสาระสำคัญ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) เพื่อให้แต่ละบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้ อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถในการระดมเงินกู้สำหรับ โครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. สำหรับครึ่งปีแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,339 ล้านบาท ลดลง 178 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7 เมื่อ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2547 หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2548 กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2547 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 56 109 171 181 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า รายใหญ่ (IPP) 2,280 1,998 2,317 2,197 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) 155 (4) 137 20 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้า ต่างประเทศ (Overseas) 111 116 64 62 กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 120 120 55 55 หมายเหตุ: - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล น้ำเทิน 2 - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ในครึ่งปีแรก ปี 2548 บผฟ. มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 383 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2547 ซึ่ง บผฟ. มีผลขาดทุนจาก อัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 228 ล้านบาท ทั้งนี้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น จำนวน 449 ล้านบาทในครึ่งปีแรก ปี 2548 เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตาม มาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะ ที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชี ปัจจุบัน (วันที่ 30 มิถุนายน 2548) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2547) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในครึ่งปีแรก ปี 2548 บริษัท จะมีกำไรจำนวน 2,722 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีแรก ปี 2547 จำนวน 23 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 383 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 956 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 256 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,353 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ.ในครึ่งปีแรก ปี 2548 จะเป็นจำนวน 5,287 ล้านบาท ลดลง 232 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับกำไร ของกลุ่ม บผฟ. ครึ่งปีแรก ปี 2547 จำนวน 5,519 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 228 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 1,154 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 257 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่างๆ จำนวน 1,364 ล้านบาท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 53.47 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 32.72 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 5.18 บาท อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 53.47 นั้น ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2547 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 54.70 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟที่ลดลงของ บฟร. และต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นของ เอพีบีพี ส่วนอัตรากำไรสุทธิในครึ่งปีแรก ปี 2548 (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 32.72 นั้นใกล้เคียงกับ ช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2547 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 32.59 3.2 การวิเคราะห์รายได้ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ปี 2548 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไรในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 8,321 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันปี 2547 ลดลงจำนวน 100 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้รวม: หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 245 388 (37%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 4,820 5,053 (5%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 2,439 2,340 4% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 418 371 13% กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 399 269 48% 1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 245 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากการลงทุน ทางการเงิน 172 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 59 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 15 ล้านบาท ซึ่ง รายได้ของ บผฟ. ลดลงจากปีก่อน จำนวน 143 ล้านบาท หรือร้อยละ 37 สาเหตุหลัก จากเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลงจำนวน 177 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51 เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2547 เนื่องจากสภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ในครึ่งปีแรก ปี 2548 ยังคงมาจากเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงินคือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (KTSF) จำนวน 91 ล้านบาท ลดลง 214 ล้านบาท เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและพัฒนา ทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) จำนวน 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21 ล้านบาท สำหรับรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 59 ล้านบาทนั้นเพิ่มขึ้น 25 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท 2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 4,820 ล้านบาท แบ่งเป็น - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 4,746 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 221 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร.จำนวน 2,485 ล้านบาท ลดลง 206 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่ลดลง และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 2,262 ล้านบาท ลดลง 15 ล้านบาท เนื่องจากอัตรา ค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่ลดลง ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน สูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 2,485 2,690 (8%) บฟข. 2,262 2,277 (1%) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความ พร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระ ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง บฟร. และ บฟข.จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่า พลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับ ค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตรา แลกเปลี่ยนเป็นเงิน 346 ล้านบาทสำหรับครึ่งปีแรก ปี 2548 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 74 ล้านบาท ลดลง 12 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 สาเหตุหลักคือ ดอกเบี้ยรับ ของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 10 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินฝากที่ลดลง และรายได้อื่นๆลดลง 2 ล้านบาท 3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 2,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 99 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สำหรับกลุ่ม ธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน โดยมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 2,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 75 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 1,374 1,331 3% ทีแอลพี โคเจน 812 784 4% เอพีบีพี 124 139 (11%) ร้อยเอ็ด กรีน 87 69 26% ทั้งนี้รายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นมาจาก จีอีซี จำนวน 43 ล้านบาท เนื่องจาก มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไฟให้แก่ กฟผ. ส่วน ทีแอลพี โคเจน มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 29 ล้านบาทเนื่องมาจากมีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้ลูกค้าใน นิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น และร้อยเอ็ด กรีน ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 18 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น สำหรับรายได้ค่าไฟฟ้าของเอพีบีพี ลดลง 15 ล้านบาท เกิดจาก กำลังการผลิตลดลงเนื่องจากการชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานของเครื่องจักร ผลิตไฟฟ้า - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากดอกเบี้ยรับของ ทีแอลพี โคเจน และ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น และ รายได้อื่นๆของ ร้อยเอ็ด กรีน อาทิค่าขายซากเชื้อเพลิงแกลบและชานอ้อยที่เพิ่มขึ้น - ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2547 สาเหตุหลักเนื่องจาก มีงานซ่อมบำรุงรักษาหลักในปี 2547 4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน จำนวน 47 ล้านบาท สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศประกอบด้วย โคแนล และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 26 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7 ซึ่งเกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 21 ล้านบาท ลดลง 3 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 12 - ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ลดลง 24 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากโครงการน้ำเทิน 2 บันทึกบัญชีตามวิธี ส่วนได้เสียและได้รับรู้ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายจนมูลค่าเงินลงทุนเท่ากับศูนย์แล้วเมื่อสิ้นสุดปี 2547 สำหรับในครึ่งปีแรก ปี 2547 มีการรับรู้ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ จำนวน 24 ล้านบาท 5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 130 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 48 สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ เอสโก และ เอ็กคอมธารา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง รายได้ค่าบริการ เอสโก 309 184 68% รายได้ค่าน้ำ เอ็กคอมธารา 83 78 6% - รายได้ค่าบริการ จำนวน 309 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 125 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 68 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของการให้การบริการบำรุงรักษาหลัก และ ขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิตไฟฟ้าระหว่างเอสโก กับ โรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน - รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 5 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 เนื่องจากอัตราค่าน้ำที่เพิ่มขึ้น - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.86 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 15 ส่วนใหญ่จากดอกเบี้ยรับของเอ็กคอมธารา - ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าของเอสโก จำนวน 0.08 ล้านบาท ลดลง 1.54 ล้านบาท ซึ่งมาจาก บริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3.3 การวิเคราะห์รายจ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า ในครึ่งปีแรก ปี 2548 จำนวน 5,456 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 98 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ ค่าใช้จ่ายรวม: หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 189 217 (13%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 2,540 2,736 (7%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 2,259 2,182 4% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 203 218 (7%) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 264 201 31% 1) ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 189 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป ทั้งจำนวน ซึ่งลดลงทั้งสิ้น 27 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2547 เนื่องจากหุ้นกู้ของ บผฟ. ได้ชำระคืนหมดแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 2) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จำนวน 2,540 ล้านบาท ลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 196 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 รายละเอียดดังต่อไปนี้ - ต้นทุนขาย จำนวน 1,447 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 41 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 สาเหตุหลักมาจากค่าบำรุงรักษาหลักที่ลดลงของ บฟร. ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่(IPP) หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 813 876 (7%) บฟข. 634 612 4% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 336 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 25 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 สาเหตุหลักจาก บฟข. ตัดจ่ายผล ขาดทุนจากการโอนเงินลงทุนเผื่อขายเป็นเงินลงทุนที่ถือไว้จนครบกำหนดจำนวน 40 ล้านบาท - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 757 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 181 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 19 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 112 ล้านบาท และ 69 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากจำนวนเงินต้นของเงินกู้ลดลง 3) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 2,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 78 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 รายละเอียด ดังต่อไปนี้ - ต้นทุนขาย จำนวน 1,934 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2547 จำนวน 74 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 26 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วน ต้นทุนขายของ เอพีบีพี เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท เนื่องจากงานซ่อมบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 18 ล้านบาท เนื่องจากค่าเชื้อเพลิงแกลบที่สูงขึ้น ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท ครึ่งปีแรก ปี 2548 ครึ่งปีแรก ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 1,142 1,139 0.29% ทีแอลพี โคเจน 612 586 5% เอพีบีพี 127 100 27% ร้อยเอ็ด กรีน 53 36 50% - ค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 163 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งสิ้น 16 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 9 สาเหตุหลักจาก ทีแอลพีโคเจน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทาง การเงินลดลง 28 ล้านบาท เนื่องจากในครึ่งปีแรก ปี 2547 มี Refinancing Fee - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 163 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 19 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 11 ล้านบาทของ ทีแอลพี โคเจน อันเนื่องจากวงเงินกู้ที่สูงขึ้นจากค่า Refinancing Fees และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการทำ Swap เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อลดความเสี่ยง สำหรับดอกเบี้ยจ่ายของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 7 ล้านบาทมาจากการกู้เงินสำหรับก่อสร้าง โรงไฟฟ้า ทั้งนี้ดอกเบี้ยจ่ายของ ทีแอลพี โคเจนและ จีอีซี มีจำนวนทั้งสิ้น 54 ล้านบาท และ 95 ล้านบาท ตามลำดับ 4) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 203 ล้านบาท ลดลงจาก (ยังมีต่อ)