EN | TH
24 February 2006

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ประจำปี 2548

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำปี 2548 สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2548 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัด ทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถ ติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสนอข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่ เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อม ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการ พิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใด กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-3 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รายใหญ่ ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง ณ ปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 12 โรง และมีโครงการสำคัญ ที่กำลังพัฒนา 2 โครงการ คือ โครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) พร้อมกลุ่มสถาบัน ทางการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์และองค์กรระหว่างประเทศได้ให้การสนับสนุน โครงการอันนำไปสู่การเบิกเงินกู้งวดแรกเป็นจำนวนเทียบเท่า 238 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 และ โครงการแก่งคอย 2 ซึ่งได้ดำเนินการ ปรับปรุงเงื่อนไขหนี้ด้วยการเปลี่ยนเจ้าหนี้เงินกู้ดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารพาณิชย์ไทย เป็นธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศและ Japan Bank for International Cooperation (JBIC) และสามารถเบิกเงินกู้งวดแรกภายใต้เงื่อนไขใหม่ที่มีต้นทุน ที่ถูกลงเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ในปี 2548 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2548 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 4,093 ล้านบาท ลดลง 569 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปี 2547 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบ จากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในปี 2548 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,378 ล้านบาท ลดลงจาก ปี 2547 จำนวน 217 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 สาเหตุการ ลดลงของกำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจาก - บผฟ. มีกำไรสุทธิเท่ากับ 4 ล้านบาท ลดลง 82 ล้านบาท เนื่องจากเงินปันผล รับจากการลงทุนทางการเงินลดลง - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 4,208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 153 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ บฟข. ประกอบกับดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงของ บฟร. และ บฟข. - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 299 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 4 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ จีอีซี และ ทีแอลพีโคเจน และ ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ลดลงของ ทีแอลพีโคเจน - กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) ขาดทุนสุทธิ เท่ากับ 304 ล้านบาท ลดลงทั้งสิ้น 343 ล้านบาท เนื่องจาก เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในลาวและนำมาจัดทำงบการเงินรวม ตามสัดส่วนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 ซึ่งขาดทุนจำนวน 455 ล้านบาท - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) มีกำไรสุทธิ รวมทั้งสิ้น 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 50 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer "IPP") แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งแปรรูปมาจากส่วนของการผลิตบางส่วนของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) หรือ กฟผ. (ชื่อเดิมคือ "การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย") จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้งโดยการลงทุนในบริษัทย่อย หรือบริษัทร่วมต่าง ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า "เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งใน ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม และ การพัฒนาสังคม" สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ บผฟ. เราได้มุ่งเน้นการประกอบ ธุรกิจในการผลิตกระแสไฟฟ้าและจำหน่ายให้ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟระยะยาว นอกจากนั้น เรายังแสวงหาการลงทุนจากการพัฒนาหรือซื้อโครงการจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายในการจัดหา ผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการแสวงหากำไรจากโครงการที่มีอยู่ ในปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ณ.ปลายเดือนธันวาคม 2548 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,450.56 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งประมาณร้อยละ 9.1 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิต ในกลุ่ม บผฟ. โดยในปี 2548 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนเมษายนที่ 20,537.50 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 6.27 เมื่อเทียบกับความ ต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมของปี 2547 /1 ที่มา: บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติแต่งตั้งคณะ กรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการ รวมทั้งหมด 7 คนเพื่อปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลนโยบายกิจการไฟฟ้า ทางด้าน การเปิดประมูลโรงไฟฟ้าใหม่เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2554-2558 นั้น คาดว่าการเปิดประมูลจะเกิดขึ้นภายในปี 2549 แต่รายละเอียดของการ ประมูลยังไม่มีความชัดเจน ซึ่ง บผฟ. ยังไม่สามารถประมาณผลกระทบที่อาจ จะเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ดี บผฟ. ได้ดำเนินการวางแผนโดยอาศัยความ ร่วมมือ ตลอดจนความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์กรเพื่อเตรียมตัวสำหรับ การประมูลดังกล่าวแล้ว ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้น (equity MW) รวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 12 โรง ซึ่งร้อยละ 85 ของกำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. ซึ่งมีกำลังผลิต ติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ดำเนินการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 4 โครงการ ซึ่งคิดเป็น กำลังการผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,021 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นใน บริษัทที่ดูแลโครงการคือ กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดย ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้มีกำหนดเริ่มเดินเครื่อง เชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิตโรงละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2549 โครงการเบิกเงินกู้ครั้งแรกภายใต้เงื่อนไขใหม่ที่จำกัดความรับผิดชอบของ เจ้าของโครงการ (Project Finance) และได้รับการปรับปรุงเงื่อนไข เงินกู้ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเปลี่ยนเจ้าหนี้เงินกู้ต่างประเทศจากธนาคาร พาณิชย์ไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ และ JBIC 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นบริษัท เจ้าของโครงการ) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชา ธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2548 ได้มีการลงนามสัญญาการกู้ยืมเงินและการให้ความช่วยเหลือทาง การเงินต่างๆ และได้มีการเบิกเงินกู้งวดแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 สำหรับงานก่อสร้างเกิดความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เล็กน้อยแต่คาดว่า จะสามารถเร่งดำเนินการให้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ได้ โครงการนี้มี กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2552 และมีสัญญาขาย ไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือขายให้กับรัฐบาลลาว 3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 47.5) ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพารา เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ ต้นปี 2547 การก่อสร้างจึงล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการได้รับการอนุมัติ จาก กฟผ. ให้เลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. จากเดือน เมษายน 2549 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2549 4. โครงการขยายกำลังการผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (บผฟ. ถือหุ้น ร้อยละ 50 ในบริษัท เอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน เอพีบีพี ร้อยละ 29.7) กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิต ไฟฟ้าจำหน่ายให้กับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548 ได้มีการลงนามสัญญาการกู้ยืมเงินกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และได้มีการเบิกเงินกู้งวดแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2548 โครงการขยาย กำลังการผลิตนี้มีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 ปัจจุบัน อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บผฟ. มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยาย ธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลมีผลกระทบ ต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) เพื่อให้แต่ละบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อ ได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถในการระดมเงินกู้สำหรับ โครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ในระหว่างไตรมาสที่ 3 ปี 2548 เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ดังนั้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 เงินลงทุนใน เอ็นทีพีซี ได้นำมาจัดทำงบการเงินรวมตามวิธีรวมตามสัดส่วน เนื่องจากงบการเงินของกิจการร่วมค้าดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัท ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และ บริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. ในปี 2548 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 4,093 ล้านบาท ลดลง 569 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 เมื่อ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงาน ปี 2547 หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิ ปี 2548 กำไรสุทธิ ปี 2547 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 4 57 86 71 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 4,208 3,973 4,055 4,119 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 299 199 295 316 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) (304) (304) 39 32 กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 170 169 120 124 หมายเหตุ:- ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ในปี 2548 บผฟ. มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 285 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 ซึ่ง บผฟ. มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 67 ล้านบาท ทั้งนี้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจำนวน 395 ล้านบาท ในปี 2548 เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุล ต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 ธันวาคม 2548) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2547) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ใน ปี 2548 บริษัท จะมีกำไรจำนวน 4,378 ล้านบาท ลดลงจาก ปี 2547 จำนวน 217 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 285 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 1,859 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 475 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 3,067 ล้านบาท กำไรก่อน หักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ.ในปี 2548 จะเป็นจำนวน 9,779 ล้านบาท ลดลง 282 ล้านบาท หรือคิด เป็นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับกำไร ของกลุ่ม บผฟ. ปี 2547 จำนวน 10,061 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 67 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 2,220 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 597 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 2,650 ล้านบาท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 49.13 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 25.98 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 8.32 บาท อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 49.13 นั้น ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2547 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 51.39 สาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้ค่าไฟของ บฟร. ประกอบกับการเริ่มบันทึกผลการดำเนินงานโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งอยู่ ระหว่างการพัฒนาตามวิธีรวมตามสัดส่วน มีผลขาดทุน จำนวน 455 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของปี 2548 (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ซึ่งเท่ากับร้อยละ 25.98 นั้นต่ำกว่าปี 2547 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 27.85 3.2 การวิเคราะห์รายได้ ผลการดำเนินงานใน ปี 2548 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และ ส่วนแบ่งกำไรในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวน ทั้งสิ้น 16,854 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบ ปี 2547 เพิ่มขึ้นจำนวน 354 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้รวม: หน่วย:ล้านบาท ปี 2548 ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 478 587 (19%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 9,572 9,846 (3%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 5,287 4,778 11% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 847 730 16% กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 669 559 20% 1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 478 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงิน 241 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 140 ล้านบาทและ ดอกเบี้ยรับ 96 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้ของ บผฟ. ลดลงจากปี 2547 ทั้งสิ้น 109 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 สาเหตุหลักเนื่องจากเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการ เงินลดลงจำนวน 234 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49 เนื่องจากสภาวะการลงทุนใน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในขณะที่มีรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น 113 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลัก มาจากการจ่ายเงินชดเชยค่า Internal Development Cost สุทธิของโครงการ น้ำเทิน 2 จำนวน 110 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามShareholder's Agreement และดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ใน ปี 2548 ยังคงมาจากเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงินคือ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (KTSF) จำนวน 130 ล้านบาท ลดลง 298 ล้านบาท เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและ พัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) จำนวน 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท โดยเป็นผลส่วนใหญ่จากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น 2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 9,572 ล้านบาท แบ่งเป็น - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 9,378 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 293 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร.จำนวน 5,039 ล้านบาท ลดลง 409 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่ลดลง และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 4,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตาม ที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย:ล้านบาท ปี 2548 ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 5,039 5,448 (8%) บฟข. 4,339 4,224 3% สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายคงที่คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการ คำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่ เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ใน การบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการ ชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อ อัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลัง ไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบ จากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 744 ล้านบาทสำหรับ ปี 2548 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 194 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่เพิ่มขึ้น จำนวน 25 ล้านบาท จากจำนวนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มทุนใน บฟร. ของ บผฟ. ในขณะที่ดอกเบี้ยรับของ บฟข. ลดลง 2 ล้านบาทและรายได้อื่นๆของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 3 ล้านบาท 3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 5,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2548 จำนวน 509 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 สำหรับกลุ่มธุรกิจ โรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน โดยมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 5,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 505 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท ปี 2548 ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 3,017 2,640 14% ทีแอลพี โคเจน 1,727 1,629 6% เอพีบีพี 257 272 (5%) ร้อยเอ็ด กรีน 187 142 32% ทั้งนี้รายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นมาจาก จีอีซี จำนวน 377 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเรียกกำลังการผลิตสำหรับความต้องการไฟฟ้า สูงสุดจาก กฟผ. ส่วนทีแอลพีโคเจนมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 97 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่ เพิ่มขึ้นจากอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้น และการขายไอน้ำให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่ เพิ่มขึ้น และร้อยเอ็ดกรีนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 46 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ ส่งผลให้รายได้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น สำหรับรายได้ค่าไฟฟ้าของเอพีบีพี ลดลง 15 ล้านบาท เกิดจาก กำลังการผลิตลดลงเนื่องจากการชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานของ เครื่องจักรผลิตไฟฟ้า - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากรายได้อื่นๆของเอพีบีพีเพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท เนื่องจาก ได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันภัย ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ ของร้อยเอ็ดกรีนเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท และทีแอลพี โคเจนเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆของจีอีซี ลดลง 7 ล้านบาท - ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 26 ล้านบาท ลดลง 27 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2547 สาเหตุหลักเนื่องจากค่าปรับ ที่เกิดจากการผลิตและจำหน่ายไอน้ำได้ไม่ครบตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ กฟผ. 4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 847 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 117 ล้านบาท สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล และ เอ็นทีพีซี ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 802 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 85 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 ซึ่งเกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 19 - ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 มีการบันทึกเป็นศูนย์ แสดงการลดลง 25 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 2547 โครงการน้ำเทิน 2 บันทึกบัญชีตามวิธีส่วนได้เสีย แต่ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ได้เริ่มต้นการบันทึกผลการดำเนินงานตามวิธีรวมตามสัดส่วนภายหลังการเริ่ม ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศลาว 5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 111 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20 สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ เอสโก และ เอ็กคอมธารา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย:ล้านบาท ปี 2548 ปี 2547 %เปลี่ยนแปลง รายได้ค่าบริการ - เอสโก 487 390 25% รายได้ค่าน้ำ - เอ็กคอมธารา 168 157 7% - รายได้ค่าบริการของเอสโก จำนวน 487 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 96 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 25 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของการ ให้การบริการบำรุงรักษาหลัก และขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิตไฟฟ้า (ยังมีต่อ)