09 August 2007
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวดครึ่งปีแรก ปี 2550
ล้านบาท ลดลง 787 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่ลดลง
โดยบางส่วนเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน
สูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ ?Cost Plus? หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ
ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 1,788 2,720 (34%)
บฟข. 2,059 2,846 (28%)
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 3,847 5,566 (31%)
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่คือ
ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่าย
พลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่าย
ในการกู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร.
และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้า
เพิ่มขึ้นจากที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตรา
แลกเปลี่ยน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่า
พลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้
ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
เป็นเงิน 215 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2550
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 64 ล้านบาท ลดลง 150 ล้านบาท
หรือร้อยละ 70 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่ลดลงจำนวน 116 ล้านบาท จากจำนวน
เงินฝากที่ลดลงเนื่องจากการลดทุนใน บฟร. ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ บฟร.
ได้ทำการลดทุนจดทะเบียนจากเดิม 9,220 ล้านบาท เป็น 4,702 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม
2549 สำหรับดอกเบี้ยรับของ บฟข. ลดลง 29 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
2550 อีกทั้งรายได้อื่นๆของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 5 ล้านบาท
* ต้นทุนขาย จำนวน 1,674 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 ทั้งสิ้น 17
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1 สาเหตุหลักมาจาก บฟร. มีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 59 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7
เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2549 เนื่องจากค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากการสั่งเดินเครื่องและหยุด
เครื่องตามคำสั่งของ กฟผ. ประกอบกับค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นไปตามตารางการ
ซ่อมบำรุง ในขณะที่ บฟข. มีต้นทุนขายลดลง 42 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 เนื่องจากในครึ่งปีแรก ปี 2549 บฟข.มีงานซ่อมบำรุงรักษาหลัก
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 902 842 7%
บฟข. 773 815 (5%)
รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 1,674 1,657 1%
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 381 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลา
เดียวกันปีก่อน จำนวน 284 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 43 สาเหตุหลักจากภาษีเงินได้ของ บฟร.
และ บฟข. ที่ลดลง จำนวน 282 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ลดลง ปัจจุบัน บฟร. และ บฟข.
ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนผลิตไฟฟ้าใน
อัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551
และ วันที่ 25 กันยายน 2552 ตามลำดับ
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 290 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีแรก ปี 2549
จำนวน 322 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 53 เนื่องจาก บฟร. ได้ชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ทั้งหมด
เมื่อเดือน ธันวาคม 2549 และ บฟข. มีจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง
* ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ บีแอลซีพี และ จีพีจี
จำนวน 2,951 ล้านบาท โดย บผฟ. ได้เริ่มบันทึกผลการดำเนินงานโดยวิธีส่วนได้เสียของ
บีแอลซีพี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 เป็นจำนวน 2,528 ล้านบาท และจีพีจี เริ่มมีกำไรสุทธิ
จำนวน 422 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟฟ้าจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1
ของโครงการแก่งคอย 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 และรายได้อื่นๆจากเงินค่าชดเชย
จากผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Liquidated Damages)
ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาก่อสร้างโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1
3) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี (ไม่รวม จีพีจี) เออีพี เอพีบีพี
เอ็กโก โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน ในครึ่งปีแรก ปี 2550 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,087 ล้านบาท
ลดลงจากครึ่งปีแรก ปี 2549 จำนวน 27 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 ค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 884
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ปี 2549 จำนวน 8 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1 และส่วนแบ่ง
ผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกปี 2549 จำนวน
401 ล้านบาท หรือร้อยละ 1,070 โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน จีอีซี (ไม่รวม จีพีจี)
1H?50 1H?49 1H?50 1H?49 1H?50 1H?49
รายได้รวม 977 983 110 131 - -
ค่าใช้จ่ายรวม 818 812 66 63 - -
ส่วนแบ่งผลกำไร - - - - 386 (79)
เอพีบีพี และ เออีพี รวม
1H?50 1H?49 1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม - - 1,087 1,114 (2%)
ค่าใช้จ่ายรวม - - 884 876 1%
ส่วนแบ่งผลกำไร 52 116 438 37 1,070%
* รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 1,070 ล้านบาท ลดลง
จากช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 จำนวน 23 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 รายได้ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่
ที่ลดลงมาจาก ร้อยเอ็ด กรีน จำนวน 17 ล้านบาท เนื่องจากค่าพลังไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจาก
ราคาน้ำมันเตาที่ลดลงซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ ในขณะเดียวกัน เอ็กโก โคเจน มีรายได้ลดลง
6 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ค่าไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโก โคเจน 967 973 (1%)
ร้อยเอ็ด กรีน 102 120 (14%)
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 1,070 1,093 (2%)
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 17 ล้านบาท ลดลง 4 ล้านบาท
หรือร้อยละ 20 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้อื่นๆของ ร้อยเอ็ด กรีน ที่ลดลง 3 ล้านบาท
* ต้นทุนขาย จำนวน 829 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ปี 2549 จำนวน 16 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 2 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ เอ็กโก โคเจน เพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท เนื่องจาก
ปริมาณการใช้และราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท
เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโก โคเจน 770 758 2%
ร้อยเอ็ด กรีน 59 55 7%
รวมต้นทุนขาย-เอสพีพี 829 813 2%
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อนจำนวน 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 47 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2549 จำนวน
7 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 สาเหตุหลักเกิดจาก ดอกเบี้ยจ่ายของ เอ็กโก โคเจน ลดลง 6
ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลง
* ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ จีอีซี (ไม่รวม จีพีจี) เอพีบีพี
และ เออีพี จำนวนรวม 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 401 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งปีแรก
ปี 2549 โดยส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก จีอีซี จำนวน 386 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 465
ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจำนวน 335 ล้านบาท
และรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้น 111 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งผลกำไรจาก เอพีบีพีและเออีพี จำนวน 52 ล้านบาท ลดลง 64
ล้านบาท เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2549 สาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ขายให้กับ กฟผ.
ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นของเออีพี
4) กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล และ เอ็นทีพีซี
มีส่วนแบ่งผลขาดทุนจากส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 146 ล้านบาท โดยกำไรลดลง
จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 193 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนแบ่งผลกำไรจาก
โคแนล จำนวน 34 ล้านบาท ลดลง 41 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการผลิตพลังงานไฟฟ้า
ที่ลดลงเนื่องจากการโอนโรงไฟฟ้าจำนวน 40 เมกะวัตต์ ของ เอ็นเอ็มพีซี ให้แก่ เอ็นพีซี
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่กำหนดไว้ และรายได้ค่าไฟที่ลดลง
เนื่องจากการแข็งค่าของเงินเปโซ สำหรับ เอ็นทีพีซี มีส่วนแบ่งผลขาดทุน จำนวน 179
ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 152 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
สาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
5) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ เอสโก และ เอ็กคอมธารา
และกิจการร่วมค้า 1 แห่ง คือ อเมสโก มีรายได้รวมทั้งสิ้น 407 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีแรก
ปี 2549 จำนวน 107 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 276 ล้านบาท ลดลง
จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 78 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 และส่วนแบ่งผลกำไร
ในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าจำนวน 3 ล้านบาท ลดลง 0.22 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 เมื่อ
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย: ล้านบาท
เอสโก เอ็กคอมธารา รวม
1H?50 1H?49 1H?50 1H?49 1H?50 1H?49 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 292 418 114 96 407 514 (21%)
ค่าใช้จ่ายรวม 239 323 37 31 276 354 (22%)
ส่วนแบ่งผลกำไร 3.00 3.22 - - 3.00 3.22 (7%)
* รายได้ค่าบริการของเอสโก จำนวน 285 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีแรก ปี 2549
จำนวน 126 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31 สาเหตุหลักจากการขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิต
ไฟฟ้าระหว่างเอสโก กับ โรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน ลดลง
* รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก
ปี 2549 จำนวน 16 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 17 เนื่องจากปริมาณน้ำประปาขั้นต่ำ (Minimum
Take) และอัตราค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาระยะยาวกับการประปาส่วนภูมิภาค
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท
หรือ คิดเป็นร้อยละ 26 สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยรับของเอ็กคอมธารา เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท
* ต้นทุนบริการ จำนวน 201 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 จำนวน 80
ล้านบาท หรือร้อยละ 28 เป็นผลมาจากการลดลงของต้นทุนขายอุปกรณ์เครื่องจักรของ เอสโก
ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง
* ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
จำนวน 5 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 19 เนื่องจากค่าจ้างผลิตน้ำประปาและบำรุงรักษาระบบผลิต
และท่อส่งน้ำประปาของเอ็กคอมธาราเพิ่มขึ้น
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 42 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สาเหตุหลักเนื่องจากภาษีเงินได้ของเอสโกลดลง
14 ล้านบาทจากรายได้ที่ลดลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารของเอสโกเพิ่มขึ้น 9 ล้านบาท
* ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ของเอสโก จำนวน 3 ล้านบาท
ลดลง 0.22 ล้านบาท จาก อเมสโก
4. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
4.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บผฟ. บริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า
มีสินทรัพย์รวมจำนวน 52,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,128 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 เมื่อ
เทียบกับสิ้นปี 2549 โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 6,301 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม
ลดลง 2,476 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 สาเหตุหลักจาก เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด
ลดลง 2,243 ล้านบาท เนื่องจากการชำระเงินลงทุนในส่วนที่ บผฟ. ยังไม่ได้ชำระจากการ
ลงทุนในกิจการร่วมค้า บีแอลซีพี ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
ของ CLP Holdings Limited จำนวน 4,645 ล้านบาท และ บผฟ.ได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน
จำนวน 3,735 ล้านบาท ให้กับ บีแอลซีพี และ จีอีซี ในขณะที่ บผฟ.ได้เบิกเงินกู้ยืม
ระยะสั้นจากธนาคารพาณิชย์ไทย จำนวน 4,350 ล้านบาท
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 1,226
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 1,074 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 47 สาเหตุหลักจากการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระคืนของ บฟข.
3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ณ วันที่ 30 มิถุนายน
2550 ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสียตามงบการเงินรวม มีมูลค่า
ตามบัญชี เท่ากับ 17,468 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น
5,090 ล้านบาท หรือร้อยละ 41 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่
3.1) มีการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3,735 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น จีอีซี
จำนวน 1,485 ล้านบาท และบีแอลซีพี จำนวน 2,250 ล้านบาท
3.2) มีการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย
จำนวน 3,426 ล้านบาท
3.3) ได้รับเงินปันผลจาก บีแอลซีพี และโคแนล จำนวน 2,085 ล้านบาท
3.4) กำไรจากการแปลงค่างบการเงินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศจำนวน
15 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยใช้
ราคาทุนเดิมเป็นราคาเริ่มต้น ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท มีมูลค่าตามบัญชีครึ่งปีแรก
ของปี 2550 เท่ากับ 27,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,735 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ซึ่ง
เป็นผลมาจาก บผฟ. มีการลงทุนเพิ่มในกิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่ จีอีซี และ บีแอลซีพี
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์สุทธิ จำนวน 19,409 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ
37 ของสินทรัพย์รวม ลดลงสุทธิทั้งสิ้น 730 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 สินทรัพย์ที่ลดลง
ส่วนใหญ่มาจาก การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน
1,050 ล้านบาท และการโอนวัสดุสำรองหลักที่ไม่ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ
บฟร. และบฟข. จำนวน 127 ล้านบาท ในขณะที่มีการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นสินทรัพย์
เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาของ บฟร. และบฟข. จำนวน 338 ล้านบาท และซื้อสุทธิของ
ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 109 ล้านบาท
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 8,185 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16 ของสินทรัพย์รวม
เพิ่มขึ้น 1,318 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 สาเหตุหลักเนื่องจากเงินปันผลค้างรับจากกิจการร่วมค้า
ที่เพิ่มขึ้น จำนวน 2,001 ล้านบาท ในขณะที่ลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน
(ค่าไฟฟ้าจาก กฟผ.) ลดลง 303 ล้านบาท วัสดุสำรองคลังสุทธิลดลง 237 ล้านบาท และ
เงินให้กู้ยืมแก่ จีอีซี ที่ชำระครบแล้ว ลดลง 100 ล้านบาท
4.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 12,568 ล้านบาท ลดลง
1,973 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1) เงินกู้ยืมระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 35 ของหนี้สินรวม
โดย บผฟ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ระยะสั้นกับธนาคารพาณิชย์ไทย 2 แห่ง ซึ่งมี
วงเงินกู้ยืมแห่งละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 และเริ่มเบิกเงินกู้
งวดแรกในวันที่ 29 มกราคม 2550 โดยมีกำหนดชำระคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด 1 ปี
จากวันที่ลงนามในสัญญา
3) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 6,330 ล้านบาท หรือร้อยละ 50 ของ
หนี้สินรวม ลดลง 1,183 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 869 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 753 ล้านบาท
- หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 3,292 ล้านบาท
กำหนดชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 หน่วย: ล้านบาท
กำหนดชำระคืน บฟข. เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
ภายใน 1 ปี 2,009 147 28
1-5 ปี 2,602 927 113
เกินกว่า 5 ปี - 388 117
รวม 4,611 1,462 257
ทั้งนี้เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ค้ำประกันโดยการจำนองที่ดิน อาคาร โรงไฟฟ้า
และเครื่องจักร และได้กันเงินสำรองเพื่อการชำระคืนเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยที่จะ
ครบกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี และเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 1,888 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ของหนี้สินรวม ลดลง
5,140 ล้านบาท หรือร้อยละ 73 สาเหตุหลักเนื่องจาก บผฟ. ได้ชำระเงินลงทุนในส่วน
ที่ยังค้างชำระ จำนวน 4,645 ล้านบาท ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. เพื่อแลกกับ
การโอนหุ้นบีแอลซีพีในวันที่ 30 มกราคม 2550 เจ้าหนี้การค้าลดลง 197 ล้านบาท
และภาษีเงินได้ค้างจ่ายลดลง 327 ล้านบาท
4.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 40,020 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2549 จำนวน 4,101 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 เนื่องจากปัจจัยหลัก
คือ กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม จำนวน 5,025 ล้านบาท
จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 สรุปได้ดังนี้
ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 40,020 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 76.10
หนี้สิน จำนวน 12,568 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.90
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.31 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2549
ซึ่งเท่ากับ 0.40 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 75.04 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้น
ปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 67.26 บาท
5. รายงานการวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน
กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการ
เทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 เงินสดและรายการเทียบ
เท่าคงเหลือ มีจำนวน 3,359 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2549 ทั้งสิ้น 2,243 ล้านบาท
ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 3,411 ล้านบาท
มาจากเงินสดที่ได้มาจากการดำเนินงาน 2,682 ล้านบาท และ เงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น
729 ล้านบาท
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปสำหรับกิจกรรมลงทุน จำนวน 7,843 ล้านบาท โดย บผฟ.
ได้จ่ายเงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่ จีอีซี 1,485 ล้านบาท และบีแอลซีพี 2,250
ล้านบาท และชำระเงินลงทุนในบีแอลซีพี ส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ 4,645 ล้านบาท ในขณะที่ได้รับ
เงินสดสุทธิจากการจำหน่ายหน่วยลงทุนในกองทุนรวม จำนวน 375 ล้านบาท และได้รับเงิน
ให้กู้ยืมคืนจาก จีอีซี จำนวน 100 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้รับเงินปันผลจากอีสท์ วอเตอร์
และกองทุนเปิดอื่นๆ จำนวน 61 ล้านบาท และ 47 ล้านบาท ตามลำดับ
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 2,189 ล้านบาท เนื่องจาก
บผฟ. ได้มีการเบิกเงินกู้ยืมระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท ในขณะที่มีการชำระคืนเงินกู้ บฟข.
เอ็กโก โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน รวมทั้งสิ้น 772 ล้านบาท และชำระคืนหุ้นกู้ของ บฟข. จำนวน
317 ล้านบาท นอกจากนั้นได้จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 1,072 ล้านบาท
ในครึ่งปีแรกของปี 2550 บผฟ. มีอัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) ที่สำคัญ ดังนี้
- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 1.80 เท่า เทียบกับปี 2549
ซึ่งเท่ากับ 1.68 เท่า
- อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio) อยู่ที่ 1.03 เท่า เทียบกับ
ปี 2549 ซึ่งเท่ากับ 1.18 เท่า
สาเหตุที่อัตราส่วนทั้งสองเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เป็นผลมาจากการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในจีอีซี
และบีแอลซีพีจำนวน 3,735 ล้านบาท และการชำระเงินค่าซื้อหุ้นบีแอลซีพี จำนวน 4,645
ล้านบาท ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. ในขณะที่มีการกู้ยืมเงินกู้ระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท