12 November 2007
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 9 เดือน ปี 2550
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงานประจำงวด 9 เดือน
สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2550
หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ
ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงิน
และผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและ
คำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจ
เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้
นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัย
ประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
โทร. 02-998-5145-7 หรือ email : ir@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. บทสรุปผู้บริหาร
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน
(Independent Power Producer) ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,509
เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 14 โรง โดย กลุ่ม บผฟ. ได้เริ่มรับรู้ส่วนแบ่ง
ผลกำไรจากกิจการร่วมค้าบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (บีแอลซีพี) กำลังการผลิต 1,434
เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 ตั้งแต่ มกราคม 2550 เป็นต้นไป
สำหรับโครงการขยายกำลังผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (เอพีบีพี) กำลังการผลิต
55 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิดพลังงานความร้อนร่วม ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่
25 เมษายน 2550 และ โครงการแก่งคอย 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิดพลังความร้อนของกิจการร่วมค้า
บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 กำลังผลิต
734 เมกะวัตต์ เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ใน 9 เดือนแรก ปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่
30 กันยายน 2550 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 7,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,335 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตรา
แลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ. และบริษัทย่อยแล้ว ใน 9 เดือนแรก ปี 2550 บริษัทจะมีกำไร
จำนวน 7,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 จำนวน 2,846 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 64 โดยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
* บผฟ. มีกำไรลดลง 240 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 165 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่าย
ในการบริหารที่เพิ่มขึ้น 121 ล้านบาท สาเหตุหลักจากค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์และค่าใช้จ่าย
พัฒนาโครงการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.)
บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) บีแอลซีพี และ จีพีจี มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 6,716
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,906 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ผลการดำเนินงาน ของ บีแอลซีพี ตั้งแต่เดือน
มกราคม 2550 และการรับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการแก่งคอย 2 ที่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
โรงที่ 1 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2550
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 3 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท
กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) (ไม่รวม จีพีจี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี)
บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) และ 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก โคเจน
เนอเรชั่น จำกัด (เอ็กโก โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวม
ทั้งสิ้นเท่ากับ 760 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 355 ล้านบาท จากกำไรสุทธิของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น จากกำไร
จากอัตราแลกเปลี่ยน
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย 2 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท โคแนล
โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีขาดทุนเพิ่มขึ้น 170 ล้านบาท
ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิรวม 208 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากส่วนแบ่งผลขาดทุนจาก เอ็นทีพีซี
จำนวน 242 ล้านบาท เนื่องจากผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนโคแนลมีกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท
ลดลง 50 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่ลดลงจากการโอนโรงไฟฟ้าของบริษัท นอร์ธเทิร์น
มินดาเนา เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) ให้กับ National Power Corporation (เอ็นพีซี)
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และค่าเงินเปโซที่แข็งค่าขึ้น
* กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส
จำกัด (เอสโก) บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) และกิจการร่วมค้าบริษัท อมตะ
เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 188 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท
สาเหตุหลักจากต้นทุนค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก
2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ
บผฟ. เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่
12 พฤษภาคม 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่างๆ
บผฟ. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า ?เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจร
และครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนด้วยความ
มุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม?
บผฟ.ดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทย
และภูมิภาคอาเซียน เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนให้แก่
ผู้ถือหุ้นโดยการบริหารจัดการโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและ
ให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้
ณ เดือนกันยายน 2550 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 28,230.25 เมกะวัตต์ /1
ซึ่งประมาณร้อยละ 12.43 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี
2550 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้น ณ วันที่ 24 เมษายน 2550 ที่ 22,586.1 เมกะวัตต์1 คิดเป็น
อัตราการเติบโตร้อยละ 7.23 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม
ของปี 2549
/1 ที่มา กฟผ.
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2550 ได้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ได้ยื่นซองข้อเสนอด้านเทคนิค
และด้านการเงินเพื่อผลิตไฟฟ้าเข้าระบบในปี พ.ศ. 2555-2557 ตามเป้าหมายที่กระทรวง
พลังงานประกาศรับซื้อจำนวน 3,200 เมกะวัตต์ จำนวน 20 ซอง รวม 15 ราย กำลังผลิต
ประมาณ 17,000 เมกะวัตต์ ซึ่งในขั้นตอนต่อไป กระทรวงพลังงานจะทำการประเมินข้อเสนอ
ทางด้านเทคนิค และการเงินของผู้ยื่นข้อเสนอให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2550 ก่อน
ประกาศผู้ได้รับคัดเลือก ซึ่งเงื่อนไขสำคัญในการพิจารณาผู้ชนะการประมูล เจ้าของโรงไฟฟ้า
จะต้องได้รับการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ถึงจะเซ็นสัญญา
โครงการได้ โดยเจ้าของโรงไฟฟ้าจะต้องยื่น EIA ต่อสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.)
ภายในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 และ EIA จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก สผ. ภายในเดือน
กันยายน 2551 โดยในการยื่นข้อเสนอฯ ในครั้งนี้ บผฟ. ได้ทำการยื่นประมูลจำนวน 2,800
เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักทั้งหมด
ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม
จำนวน 3,509 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 14 โรง โดยกำลังการผลิตติดตั้งส่วนใหญ่มาจาก
โรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลัง
ผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก
โดยกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งสอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 ของกำลังผลิต
ติดตั้งรวมของ บผฟ.
นอกจากนี้ บผฟ. มีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี
กำลังการผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 สัดส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวน
717 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. โครงการดังกล่าว
ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยใช้ถ่านหินคุณภาพดีนำเข้ามาจาก
ประเทศออสเตรเลียเป็นเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ยังมีโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่เพิ่งแล้วเสร็จ
และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้ง
ในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 367 เมกะวัตต์ (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี
ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการคือ จีพีจี ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี
นอกเหนือจากนั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 2 โครงการ ซึ่งคิดเป็น
กำลังการผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 635 เมกะวัตต์ ได้แก่
1.โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 2 กำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ โครงการนี้มีกำหนดเริ่ม
เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนมีนาคม 2551 ขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ
ไปประมาณร้อยละ 99.4 และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาต่อรองขอเดินเครื่องเชิงพาณิชย์
ก่อนกำหนดกับทาง กฟผ. ซึ่งกำหนดการอยู่ในราวปลายเดือน มกราคม 2551
2.โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ)
ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต
1,070 เมกะวัตต์ และกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญา
ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้กับรัฐบาลลาว
ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 67.9
ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
ในอัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอย
เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการ
ต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัท
อย่างมีสาระสำคัญโดยการจ่ายเงินปันผลต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ
3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัท
ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก
คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัด
โครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถ
ในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 กลุ่มบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี
2 รายการดังนี้
1. มาตรฐานการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียใน
กิจการร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะกิจการ
ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีฉบับที่ 26/2549 ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549
และฉบับที่ 32/2549 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ได้มีการแก้ไขมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44
เรื่องงบการเงินรวมและการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและฉบับที่ 45 เรื่องการบัญชีสำหรับ
เงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยกำหนดให้เปลี่ยนวิธีการบัญชีจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนสำหรับเงินลงทุน
ในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ที่แสดงไว้ในงบการเงินเฉพาะกิจการ ตามวิธีราคาทุน รายได้จากเงินลงทุน
จะรับรู้เมื่อมีการประกาศจ่ายเงินปันผล ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550
เป็นต้นไป ทั้งนี้กลุ่มบริษัทได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันสำหรับส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าที่แสดงในงบการเงิน
เฉพาะกิจการ โดยกลุ่มบริษัทเริ่มใช้วิธีราคาทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 และ ได้ปรับปรุง
งบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบย้อนหลังด้วย
จากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะกิจการ
ไม่เท่ากับกำไรสุทธิในงบการเงินรวม โดยใน 9 เดือนแรก ปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2550
งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิจำนวน 7,390 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.04 บาทต่อหุ้น งบการเงินเฉพาะ
มีกำไรสุทธิ 6,347 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.06 บาทต่อหุ้น ผลแตกต่างของกำไรสุทธิจากงบการเงิน
ทั้งสองดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทย่อยและกิจการ
ร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะ โดยที่กำไรสุทธิในงบการเงินรวมได้รวมผลการดำเนินงานของบริษัทย่อย
และกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการถือหุ้น ในขณะที่กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะจะรับรู้เฉพาะผลการ
ดำเนินงานของ บผฟ. และรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าก็ต่อเมื่อบริษัทย่อย
และกิจการร่วมค้าประกาศจ่ายเงินปันผลเท่านั้น ในกรณีนี้ บผฟ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 63 ล้านบาท
และ บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับ บผฟ. จำนวน 6,284 ล้านบาท
นอกจากนั้นผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่มีต่องบดุลเฉพาะกิจการ งวดสิ้นสุด ณ
วันที่ 31 ธันวาคม 2549 เป็นดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
เงินลงทุนในบริษัทย่อย ลดลง (5,036)
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า สุทธิ เพิ่มขึ้น 723
หนี้สินสุทธิในกิจการร่วมค้า ลดลง (620)
หนี้สินอื่นลดลง (911)
ผลกระทบจากการแปลงค่างบการเงินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 14
กำไรสะสม ลดลง (2,796)
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชีที่เกี่ยวข้อง
กับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่านั้น ไม่ได้มี
ผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวมแต่อย่างใด
2. มาตรฐานการบัญชีสำหรับการบันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินรวม
เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 กลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนนโยบายการบัญชีสำหรับการ
บันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินรวมจากวิธีรวมตามสัดส่วนเป็นวิธีส่วนได้เสีย เนื่องจาก
กลุ่มบริษัทพิจารณาและเห็นว่าการบันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าโดยวิธีส่วนได้เสียในงบการเงินรวม
จะสะท้อนถึงลักษณะธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจถึง
ลักษณะและการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าของกลุ่ม
บริษัทส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก
ดังนั้นเงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ยืม ซึ่งโดยปกติแล้วเงินกู้ยืมของกิจการร่วมค้าจะค้ำประกัน
โดยสินทรัพย์ของกิจการร่วมค้าเองและไม่มีผลผูกพันต่อผู้ร่วมทุน กลุ่มบริษัทใช้วิธีปรับย้อนหลัง
สำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีดังกล่าว
ทั้งนี้ งบดุลรวม ณ 31 ธันวาคม 2549 และงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุด
30 กันยายน 2549 ได้มีการปรับใหม่เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ และผลจากการเปลี่ยนแปลง
นโยบายดังกล่าวทำให้ กลุ่ม บผฟ. รับรู้ส่วนได้เสียจาก กิจการร่วมค้า 7 บริษัท คือ บีแอลซีพี
จีอีซี เอพีบีพี เออีพี โคแนล เอ็นทีพีซี และอเมสโก
ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และ
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
3.1 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2550
มีจำนวนทั้งสิ้น 7,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,335 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 46 เมื่อเปรียบเทียบ
กับช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น 4,623
ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจาก บีแอลซีพี และ จีพีจี สำหรับกำไรขั้นต้นมีจำนวนเท่ากับ 4,057
ล้านบาท ลดลง 2,335 ล้านบาท หรือร้อยละ 37 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟร.
และ บฟข. ที่ลดลงจากอัตราค่าไฟซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมีกำไรจากการ
ดำเนินงานจำนวน 4,012 ล้านบาท ลดลง 3,027 ล้านบาท หรือร้อยละ 43 โดยปัจจัยหลัก
ของการเปลี่ยนแปลงคือรายได้ค่าไฟฟ้า กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยรับที่ลดลง
หน่วย:ล้านบาท
กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก
ครึ่งปีแรก ปี 2550 ครึ่งปีแรก ปี 2549
ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX
บผฟ. (165) (165) 76 76
กลุ่มธุรกิจไอพีพี 6,716 6,774 3,809 4,303
กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 760 807 406 522
กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ (208) (208) (38) (38)
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 188 182 192 192
หมายเหตุ: - กำไรสุทธิภายใต้งบการเงินรวมตามวิธีส่วนได้เสียไม่ได้แยกผลกระทบจาก
อัตราแลกเปลี่ยนของกิจการร่วมค้า
- ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. บีแอลซีพี และจีพีจี
- เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) เออีพี เอพีบีพี เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
- ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี
- อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา อเมสโก
สำหรับ 9 เดือนแรก ปี 2550 กลุ่ม บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ.
และบริษัทย่อย จำนวน 99 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ซึ่ง กลุ่ม บผฟ.
มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 609 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
จำนวน 75 ล้านบาทเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทยซึ่งเกิดขึ้นจาก
ผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตรา
สกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 กันยายน 2550) กับงวดก่อนหน้านี้
(วันที่ 31 ธันวาคม 2549)
หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ.และบริษัทย่อยแล้ว
ใน 9 เดือนแรก ปี 2550 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 7,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน
ปี 2549 จำนวน 2,846 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 64
นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ.และบริษัทย่อย
จำนวน 99 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 614 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 456 ล้านบาท
และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,613 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย
ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ. ใน 9 เดือนแรก
ปี 2550 จะเป็นจำนวน 9,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,164 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28
เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 จำนวน 7,810 ล้านบาท
ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 609 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 949
ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 835 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ
จำนวน 1,581 ล้านบาท
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) มีดังนี้
- อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 48.79
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับร้อยละ 48.24
- อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 55.20
- อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย)
เท่ากับร้อยละ 54.46
- กำไรสุทธิ ต่อหุ้น เท่ากับ 14.04 บาท
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย)
ต่อหุ้นเท่ากับ 13.85 บาท
- อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเท่ากับร้อยละ 19.43
อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 48.79 นั้นต่ำกว่า 9 เดือนแรก ปี 2549 ซึ่งเท่ากับร้อยละ
60.42 เนื่องจากกำไรสุทธิของ บฟร. และ บฟข. ลดลง สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลง
ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย)
เท่ากับร้อยละ 54.46 นั้นสูงกว่า 9 เดือนแรก ปี 2549 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 39.63 สาเหตุหลัก
จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้าของ บีแอลซีพี และจีพีจี
3.2 การวิเคราะห์รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก ปี 2550 (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
และกำไรสุทธิของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) เป็นดังนี้
- รายได้รวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย มีจำนวนทั้งสิ้น 8,821 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบ
กับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ลดลงจำนวน 2,494 ล้านบาท หรือร้อยละ 22
- ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 5,978 ล้านบาท ลดลงจาก
ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 691 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10
สำหรับส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าใน 9 เดือนแรก ปี 2550 จำนวน 4,556
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,623 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีส่วนแบ่งผลขาดทุน
จำนวน 67 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้
รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร หน่วย : ล้านบาท
บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี
9M?50 9M?49 9M?50 9M?49 9M?50 9M?49
รายได้รวม 380 371 6,079 8,569 1,623 1,693
ค่าใช้จ่ายรวม 545 295 3,581 4,581 1,331 1,329
ส่วนแบ่งผลกำไร - - 4,218 (178) 541 146
ต่างประเทศ อื่นๆ รวม
9M?50 9M?49 9M?50 9M?49 9M?50 9M?49
รายได้รวม - - 739 684 8,821 11,315
ค่าใช้จ่ายรวม - - 522 465 5,978 6,669
ส่วนแบ่งผลกำไร (208) (38) 5 3 4,556 (67)
1) บผฟ. มีรายได้สำหรับ 9 เดือนแรก ปี 2550 รวมจำนวน 380 ล้านบาท
แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน 134 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 50 ล้านบาท
และ รายได้อื่นๆ 196 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี
2549 ทั้งสิ้น 10 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 สาเหตุหลักมาจากรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น 126 ล้านบาท
จากกำไรจากการขายกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) ในขณะที่
ดอกเบี้ยรับลดลง 83 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินฝาก
ที่ลดลง ประกอบกับเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน ลดลงทั้งสิ้น 34 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 20 สาเหตุการลดลงมาจากเงินปันผลรับจาก เคทีเอสเอฟ ลดลง 78
ล้านบาท ขณะที่เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด
(มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เพิ่มขึ้น จำนวน 31 ล้านบาท และเงินปันผลรับจาก
กองทุนเปิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 14 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท หรือร้อยละ 85
เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรก ปี 2549 สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น 129 ล้านบาท
ซึ่งเกิดจากเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 4,350 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มเบิกเงินกู้งวดแรก จากธนาคาร
พาณิชย์ไทย 2 แห่ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 นอกจากนั้นยังมีค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์
เพื่อการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ (Re-branding) ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ
ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ค่าที่ปรึกษาที่เพิ่มขึ้น
2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. บฟข. บีแอลซีพี และ จีพีจี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,079 ล้านบาท
ลดลง 2,490 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ค่าใช้จ่ายรวม
จำนวน 3,581 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 1,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 22
และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า 4,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,396 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีส่วนแบ่งผลขาดทุนจำนวน 178 ล้านบาท
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรของกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
บฟร. บฟข. บีแอลซีพี
9M?50 9M?49 9M?50 9M?49 9M?50 9M?49
รายได้รวม 2,705 4,264 3,374 4,305 - -
ค่าใช้จ่ายรวม 1,597 2,322 1,983 2,259 - -
ส่วนแบ่งผลกำไร - - - - 3,637 -
จีพีจี รวม
9M?50 9M?49 9M?50 9M?49 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม - - 6,079 8,569 (29%)
ค่าใช้จ่ายรวม - - 3,581 4,581 (22%)
ส่วนแบ่งผลกำไร 581 (178) 4,218 (178) n.a.
* รายได้ค่าไฟของกลุ่ม จำนวนรวม 6,002 ล้านบาท ลดลงจาก 9 เดือนแรก ปี 2549
จำนวน 2,249 ล้านบาท หรือร้อยละ 27 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 2,684
ล้านบาท ลดลง 1,379 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Capacity Rate) ที่ลดลง โดยบางส่วน
(ยังมีต่อ)