18 February 2010
บทรายงานการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ประจำปี 2552
บฟข. ได้ชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศหมดเมื่อเดือนมิถุนายน 2551 และจำนวนหุ้นกู้ที่ลดลง
* ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX คือ บีแอลซีพี และ จีพีจี จำนวน 4,869
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าไฟฟ้าของ จีพีจี ซึ่ง
เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 หน่วยที่ 2 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ในขณะ
ที่รายได้ค่าไฟฟ้าของ บีแอลซีพี ลดลงจากอัตราค่าไฟที่ลดลง
3) ธุรกิจเอสพีพี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 0.14
ค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 1,972 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1 และส่วนแบ่งผลกำไรใน
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX จำนวน 325 ล้านบาท ลดลง 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 โดยมี
รายละเอียดดังนี้
รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)ในกิจการร่วมค้าก่อน FX ของธุรกิจเอสพีพี :
หน่วย : ล้านบาท
เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน จีซีซี เอ็นเคซีซี
เอสซีซี จีวายจี
2552 2551 2552 2551 2552 2551
รายได้รวม 1,933 1,947 305 287 - -
ค่าใช้จ่ายรวม 1,814 1,804 158 157 - -
กำไรก่อนส่วนแบ่ง
ผลกำไร(ขาดทุน) 119 143 147 130 - -
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX - - - - 325 324
กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 119 143 147 130 325 324
หน่วย : ล้านบาท
เอพีบีพี และ เออีพี* รวม
2552 2551 2552 2551 %การเปลี่ยนแปลง
รายได้รวม - - 2,237 2,234 0.14%
ค่าใช้จ่ายรวม - - 1,972 1,961 1%
กำไรก่อนส่วนแบ่ง
ผลกำไร(ขาดทุน) - - 265 273 (3%)
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX - 41 325 365 (11%)
กำไรสุทธิก่อน FX และ MI - 41 590 638 (8%)
* ได้ขาย เอพีบีพี และ เออีพี ในเดือนพฤษภาคม 2551
* รายได้ค่าไฟฟ้าของธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 2,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 0.49 ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของ ร้อยเอ็ด กรีน จำนวน 18 ล้านบาท
เนื่องจากค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Charge) ที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเตาที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์
กับสูตรค่าไฟ ในขณะที่ เอ็กโก โคเจน มีรายได้ค่าไฟฟ้าลดลง 7 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าขาย
ไอน้ำลดลง
รายได้ค่าไฟฟ้าธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
2552 2551 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโก โคเจน 1,927 1,935 (0.40%)
ร้อยเอ็ด กรีน 299 281 7%
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 2,226 2,216 0.49%
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 11 ล้านบาท ลดลง 8 ล้านบาท หรือร้อยละ 42
สาเหตุหลักเกิดจากดอกเบี้ยรับของ เอ็กโก โคเจน ที่ลดลง
* ต้นทุนขาย จำนวน 1,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 สาเหตุหลักจากต้นทุน
ขายของ เอ็กโก โคเจน เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาหลักที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนขายธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
2552 2551 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโก โคเจน 1,705 1,698 0.40%
ร้อยเอ็ด กรีน 142 138 3%
รวมต้นทุนขาย-เอสพีพี 1,847 1,836 1%
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2
* ค่าใช้จ่ายทางการเงิน จำนวน 86 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1
* ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX คือ จีซีซี เอ็นเคซีซี เอสซีซี และจีวายจี
จำนวน 325 ล้านบาท ลดลง 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 จากการขายหุ้นใน เอพีบีพี และ เออีพี ใน
เดือนพฤษภาคม 2551
4) ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ มีส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX คือ
โคแนล เอ็นทีพีซี และ เคซอน จำนวน 693 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 672 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากการ
รับรู้ส่วนแบ่งผลกำไรจาก เคซอน จากการซื้อหุ้นร้อยละ 23.40 เมื่อเดือนธันวาคม 2551 และร้อยละ
2.60 เมื่อเดือนมีนาคม 2552 และรายได้อื่นๆ ของ เอ็นทีพีซี ที่เพิ่มขึ้นจากเงินค่าปรับงานก่อสร้างล่าช้า
จากผู้รับเหมาก่อสร้าง
5) ธุรกิจอื่นๆ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 891 ล้านบาท ลดลง 142 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 ค่าใช้จ่าย
รวมจำนวน 674 ล้านบาท ลดลง 43 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 และส่วนแบ่งผลขาดทุนในส่วนได้เสีย
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX จำนวน 11 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีส่วนแบ่งผลกำไรฯ จำนวน 4
ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)ในกิจการร่วมค้าก่อน FX ของธุรกิจอื่นๆ:
หน่วย : ล้านบาท
เอสโก* เอ็กคอมธารา เอ็นอีดี รวม
2552 2551 2552 2551 2552 2551 2552 2551 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 621 796 270 238 - - 891 1,034 (14%)
ค่าใช้จ่ายรวม 545 641 129 76 - - 674 717 (6%)
กำไรก่อนส่วนแบ่ง
ผลกำไร (ขาดทุน) 76 155 141 162 - - 217 317 (32%)
ส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX - 4 - - (11) - (11) 4 N.A.
กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 76 159 141 162 (11) - 206 321 (36%)
* ได้ขาย อเมสโก ในเดือนพฤษภาคม 2551
* รายได้ค่าบริการ ของเอสโก จำนวน 611 ล้านบาท ลดลง 158 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21
สาเหตุหลักจากรายได้การให้บริการบำรุงรักษาและรายได้จากการขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิตไฟฟ้า
ให้กับโรงไฟฟ้าต่างประเทศลดลง
* รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 17
เนื่องจากอัตราค่าน้ำและปริมาณน้ำประปาขั้นต่ำ (Minimum Take) ที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาระยะยาวกับ
การประปาส่วนภูมิภาค
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 13 ล้านบาท ลดลง 22 ล้านบาท หรือร้อยละ 64
เนื่องจากในปี 2551 มีกำไรจากการขาย อเมสโก จำนวน 15 ล้านบาท
* ต้นทุนบริการ จำนวน 435 ล้านบาท ลดลง 96 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 ซึ่งสัมพันธ์กับรายได้ที่
ลดลง
* ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท หรือร้อยละ 9
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 40
สาเหตุหลักจาก เอสโก เสียค่าปรับจากการหยุดงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าแกลบ จำนวน 37 ล้านบาท
และภาษีเงินได้ของ เอ็กคอม ธารา ที่เพิ่มขึ้น 46 ล้านบาท เนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ได้สิ้นสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ในขณะที่ภาษีเงินได้ของ เอสโก ลดลง 38 ล้านบาท จากรายได้
ที่ลดลง
* ส่วนแบ่งผลขาดทุนในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX จากการลงทุนใน เอ็นอีดี ซึ่งเป็น
บริษัทพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ทำให้มีการรับรู้
ส่วนแบ่งผลขาดทุนฯ จำนวน 11 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่มีส่วนแบ่งผลกำไรฯ ของ เอส
โก อันได้แก่ อเมสโก จำนวน 4 ล้านบาท และภายหลังได้มีการขาย อเมสโกไปเมื่อเดือนพฤษภาคม
2551
4. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
4.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 เอ็กโก บริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม
จำนวน 62,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,590 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2551 โดยมี
รายละเอียดสำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้น
และระยะยาว จำนวน 7,923 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 1,891
ล้านบาท หรือร้อยละ 31 สาเหตุหลักจากการที่ เอ็กโก ได้เบิกเงินกู้ระยะยาว จำนวน 4,000 ล้านบาท
ได้รับเงินปันผลจากกิจการร่วมค้า 3,563 ล้านบาท เงินปันผลจากอีสท์ วอเตอร์ 109 ล้านบาท ราคา
ตลาดของอีสท์ วอเตอร์ที่ปรับเพิ่มขึ้น 511 ล้านบาท และได้เงินสดรับสุทธิจากการดำเนินงาน 4,165
ล้านบาท ในขณะที่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 2,708 ล้านบาท มีการลงทุนในกิจการร่วมค้า
จำนวน 2,549 ล้านบาท และลงทุนในเงินลงทุนระยะสั้น จำนวน 556 ล้านบาท และมีการจ่ายชำระเงิน
ต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้และเงินกู้ 5,088 ล้านบาท
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 947 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อย
ละ 2 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 219 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 สาเหตุหลักจากการจ่ายชำระหนี้เงินต้น
และดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระคืนของ บฟข.
3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ส่วนได้เสีย
ในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสียตามงบการเงินรวม มีมูลค่าตามบัญชี เท่ากับ 28,529
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 4,035 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 ซึ่งมี
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่
3.1) การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย จำนวน 6,323 ล้านบาท
3.2) การได้มาซึ่งกิจการร่วมค้า เคซอน และ พีจีเอส จำนวน 1,038 ล้านบาท
3.3) การโอนย้ายหนี้สินสุทธิมาเป็นส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า เอ็นทีพีซี จำนวน 1,361 ล้านบาท
3.4) ได้รับเงินปันผลจาก บีแอลซีพี จีอีซี โคแนล และเคซอน จำนวน 4,428 ล้านบาท
3.5) ขาดทุนจากการแปลงค่าเงินลงทุนสุทธิของกิจการร่วมค้า โคแนล และ เคซอน ที่อยู่ใน
ต่างประเทศให้เป็นสกุลบาท จำนวน 259 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิมเป็น
ราคาเริ่มต้น ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท มีมูลค่าตามบัญชี ณ 31 ธันวาคม 2552 เท่ากับ 32,219
ล้านบาท ลดลง 2,105 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจาก เอ็กโก รับโอนกิจการจาก บฟร.
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ (สุทธิ) จำนวน 15,068 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 24 ของ
สินทรัพย์รวม ลดลงสุทธิทั้งสิ้น 1,973 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 สินทรัพย์ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก
การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ เอ็กโก และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 2,214 ล้านบาท และการโอน
วัสดุสำรองหลักที่ไม่ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ โรงไฟฟ้าระยอง เอ็กโก โคเจน และ บฟข.
จำนวน 216 ล้านบาท ในขณะที่มีการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษา
ของ โรงไฟฟ้าระยอง เอ็กโก โคเจน และ บฟข. จำนวน 273 ล้านบาท และซื้อสุทธิของที่ดิน อาคาร
และอุปกรณ์ จำนวน 184 ล้านบาท
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 10,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น
856 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 สาเหตุหลักจากเงินปันผลค้างรับจากกิจการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น 865 ล้าน
บาท
4.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 กลุ่มเอ็กโกมีหนี้สินรวม จำนวน 11,826 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี
2551 จำนวน 962 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1) เงินกู้ยืมระยะสั้น ได้ชำระคืน จำนวน 3,500 ล้านบาท เมื่อเดือนตุลาคม 2552
2) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 10,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 91 ของหนี้สินรวม เพิ่มขึ้น
2,946 ล้านบาท หรือร้อยละ 38 สาเหตุหลักเกิดจาก เอ็กโก ได้เบิกเงินกู้ยืมระยะยาว จำนวน 4,000
ล้านบาท ในขณะที่มีการชำระคืนหุ้นกู้ของ บฟข. และเงินกู้ของ เอ็กโก โคเจน และร้อยเอ็ด กรีน โดย
มีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 671 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 8,555 ล้านบาท
- หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 1,410 ล้านบาท
กำหนดชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 หน่วย : ล้านบาท
กำหนดชำระคืน เอ็กโก บฟข. เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
ภายใน 1 ปี - 914 168 37
1-5 ปี 4,000 497 894 150
เกินกว่า 5 ปี 4,000 - - 57
รวม 8,000 1,410 1,062 243
ทั้งนี้เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ค้ำประกันโดยการจำนองที่ดิน อาคาร โรงไฟฟ้า และเครื่องจักรของ
บริษัทย่อย นอกจากนี้บริษัทย่อยได้กันเงินสำรองเพื่อการชำระคืนเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยที่จะครบ
กำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีจำนวนรวม 223 ล้านบาท
3) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 1,110 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 ของหนี้สินรวม ลดลง 408 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 27 สาเหตุหลักเนื่องจากภาษีเงินได้ค้างจ่ายของ โรงไฟฟ้าระยอง บฟข. และ เอสโก ที่ลดลง
4.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 51,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551
จำนวน 5,551 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 เนื่องจากปัจจัยหลัก 3 ประการ คือ
1. กลุ่มเอ็กโกมีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม จำนวน 7,936 ล้านบาท
ในขณะที่มีการจัดสรรกำไรสะสมเป็นเงินปันผลจำนวน 2,619 ล้านบาท ทำให้กำไรสะสมเพิ่มขึ้น
จำนวน 5,317 ล้านบาท
2. การปรับมูลค่าราคาตลาดเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดที่มีไว้เผื่อขายของ
อีสท์ วอเตอร์ที่เพิ่มขึ้น จำนวน 511 ล้านบาท
3. ขาดทุนจากการแปลงค่าเงินลงทุนสุทธิของกิจการร่วมค้า โคแนล เอ็นทีพีซี และ เคซอน ที่อยู่ใน
ต่างประเทศให้เป็นสกุลบาท จำนวน 322 ล้านบาท
จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้
- ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 51,093 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 81.20
- หนี้สิน จำนวน 11,826 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.80
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.23 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2551 ซึ่งเท่ากับ 0.28 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 96.06 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ
85.60 บาท
5. รายงานการวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และ
กิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่
31 ธันวาคม 2552 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ มีจำนวน 5,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี
2551 ทั้งสิ้น 876 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 4,165 ล้านบาท มาจากเงินสดที่ได้มาจากการ
ดำเนินงาน 5,211 ล้านบาท ในขณะที่จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 653 ล้านบาท และเงินสดใช้ไปใน
เงินทุนหมุนเวียน 393 ล้านบาท
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมลงทุน จำนวน 508 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเงินปันผล
จากกิจการร่วมค้า จำนวน 3,563 ล้านบาท และเงินปันผลจากอีสท์ วอเตอร์ 109 ล้านบาท ในขณะที่มี
การลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 2,549 ล้านบาท และลงทุนในเงินลงทุนระยะสั้น จำนวน 556 ล้าน
บาท
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 3,797 ล้านบาท เกิดจากการจ่ายเงินปันผลให้แก่
ผู้ถือหุ้นจำนวน 2,708 ล้านบาท และการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของหุ้นกู้และเงินกู้ของ เอ็กโก
บฟข. เอ็กโก โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน รวมทั้งสิ้น 5,088 ล้านบาท ในขณะที่ได้เบิกเงินกู้ยืมระยะยาว
จำนวน 4,000 ล้านบาท
ปี 2552 บผฟ. มีอัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) ที่สำคัญ ดังนี้
- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 8.30 เท่า เทียบกับสิ้นปี 2551 ซึ่งเท่ากับ 2.58
เท่า
- อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio) อยู่ที่ 4.35 เท่า เทียบกับสิ้นปี 2551 ซึ่งเท่ากับ
1.34 เท่า
สาเหตุที่อัตราส่วนทั้งสองของปี 2552 สูงกว่าปี 2551 เป็นผลมาจากการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น
จำนวน 3,500 ล้านบาท