EN | TH
11 พฤศจิกายน 2539

งบการเงินรวม บ.ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน)และบ.ย่อย ณ 30 กย.2539

รายงานของผู้สอบบัญชี เสนอคณะกรรมการ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ข้าพเจ้าได้สอบทานงบดุลรวม ลงวันที่ 30 กันยายน 2539 และ 2538 และงบกำไรขาดทุน รวมประจำแต่ละไตรมาสและประจำแต่ละงวดเก้าเดือนสิ้นสุดเพียงวันเดียวกันตามลำดับของ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ตามมาตรฐานที่กำหนดโดยสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชี รับอนุญาตแห่งประเทศไทย การสอบทานงบการเงินระหว่างกาลรวมนี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ระบบในการจัดทำงบการเงิน การใช้วิธีวิเคราะห์เปรียบเทียบในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน และการสอบถามเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทางการเงินและบัญชี ซึ่งการสอบทานนี้มีขอบ เขตจำกัดกว่าการตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไปเพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงิน มาก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อาจแสดงความเห็นต่องบการเงินที่สอบทานได้ ข้าพเจ้าไม่พบสิ่งที่เป็นสาระสำคัญซึ่งควรนำมาปรับปรุงงบการเงินระหว่างกาลรวมที่กล่าวใน วรรคแรกให้เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป จากการสอบทานของข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้น เติมศักดิ์ กฤษณามระ กรุงเทพมหานคร ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเลขที่ 1106 วันที่ 24 ตุลาคม 2539 สำนักงานไชยยศ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบดุลรวม ลงวันที่ 30 กันยายน "ยังไม่ได้ตรวจสอบ" หน่วย : พันบาท 2539 2538 สินทรัพย์ สินทรัพย์หมุนเวียน เงินฝากจากสถาบันการเงิน 4,486,167 - เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงินที่ใช้เป็นหลักประกัน 4,085,066 2,067,240 ลูกหนี้การค้า 694,588 687,908 สินค้าคงเหลือ 1,668,948 909,605 สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น 2,140,421 2,744,592 13,075,190 6,409,345 เงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทอื่น 38,635 - ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ - สุทธิ 31,435,322 15,821,143 สินทรัพย์อื่น 993,623 639,068 รวม บาท 45,542,770 22,869,556 ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม "สอบทานแล้ว" บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบดุลรวม ลงวันที่ 30 กันยายน "ยังไม่ได้ตรวจสอบ" หน่วย : พันบาท 2539 2538 หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น หนี้สินหมุนเวียน เจ้าหนี้การค้า 45,373 43,517 เงินกู้ยืมระยะสั้น 1,136,000 - หนี้สินหมุนเวียนอื่น 2,077,647 872,985 3,259,020 916,502 เงินกู้ยืมระยะยาว 16,140,059 10,058,550 หุ้นกู้ 10,707,140 3,460,000 ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 3 3 ส่วนของผู้ถือหุ้น 15,436,548 8,434,501 รวม บาท 45,542,770 22,869,556 ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม "สอบทานแล้ว" บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย งบกำไรขาดทุนรวม "ยังไม่ได้ตรวจสอบ" หน่วย : พันบาท ประจำไตรมาสสิ้นสุด ประจำงวดเก้าเดือนสิ้นสุด เพียงวันที่ 30 กันยายน เพียงวันที่ 30 กันยายน 2539 2538 2539 2538 รายได้ รายได้จากการขาย 2,062,067 962,908 4,113,622 2,892,951 รายได้อื่น 215,132 102,728 680,190 274,869 รวมรายได้ 2,277,199 1,065,636 4,793,812 3,167,820 ค่าใช้จ่าย ต้นทุนขาย 629,584 383,883 1,389,373 949,219 ค่าใช้จ่ายอื่น 891,928 555,522 1,928,641 1,342,642 ภาษีเงินได้ 179,474 8,141 291,157 151,426 รวมค่าใช้จ่าย 1,700,986 947,546 3,609,171 2,443,287 กำไรสุทธิรวมก่อนหักกำไรสุทธิของ ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย 576,213 118,090 1,184,641 724,533 หัก กำไรสุทธิของ ผู้ถือหุ้น ส่วนน้อยในบริษัทย่อย (สุทธิ จากการปรับยอดยกมา เฉพาะงวด 2538 ) - - - (1) กำไรสุทธิ 576,213 118,090 1,184,641 724,534 กำไรสุทธิต่อหุ้น ประจำไตรมาส บาท 1.18 0.30 ประจำงวดเก้าเดือน บาท 2.42 1.81 ดูหมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม สอบทานแล้ว บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย หมายเหตุประกอบงบการเงินระหว่างกาลรวม ประจำไตรมาสและประจำงวดเก้าเดือนสิ้นสุดเพียงวันที่ 30 กันยายน 2539 และ 2538 1.เกณฑ์การเสนองบการเงินรวม งบการเงินรวมเป็นการรวมรายการบัญชีของบริษัทและบริษัทย่อยดังต่อไปนี้ 2539 2538 อัตราการถือหุ้น อัตราการถือหุ้น ร้อยละ ร้อยละ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด 99.99 99.99 บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด 99.99 99.99 บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด 99.99 - บริษัท เอ็กโก ร่วมทุนและพัฒนา จำกัด 99.99 - 2.เงินฝากสถาบันการเงินที่ใช้เป็นหลักประกัน เงินฝากสถาบันการเงินที่ใช้เป็นหลักประกันเป็นเงินฝากสถาบันการเงินของบริษัทย่อย ซึ่งกันไว้ จากรายได้ค่าขายไฟฟ้าเพื่อเป็นเงินสำรองสำหรับภาระหนี้สินดังกล่าวในหมายเหตุข้อ 4 และข้อ 5 3.ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้รับโอนโรงไฟฟ้าขนอมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย ตามสัญญาซื้อขายโรงไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 4.เงินกู้ยืมระยะยาว เงินกู้ยืมระยะยาว ของบริษัทย่อย 2 แห่ง เป็นเงินกู้ยืมสกุลเงินบาท และดอลลาร์สหรัฐจากสถาบัน การเงินต่าง ๆ ดังนี้ หน่วย : พันบาท 2539 2538 เงินกู้ยืมสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 13,553,911 6,969,250 เงินกู้ยืมสกุลบาท 3,319,250 3,479,000 16,873,161 10,448,250 หัก ส่วนที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี (733,102) (389,700) 16,140,059 10,058,550 เงินกู้ยืมของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement สัญญา Credit Agreement และสัญญา Institutional Loan Agreement สัญญาแต่ละฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2537 โดยมีวงเงินกู้ยืมรวมคือ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4,200 ล้านบาท มีกำหนดผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน 10 ปี 12 ปี และ 15 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตาม LIBOR บวกและ MLR ลบส่วนต่างที่กำหนด และอัตราดอกเบี้ยคงที่ตามที่กำหนดในสัญญา สัญญา Master Agreement ดังกล่าวมีข้อกำหนดให้กันเงินสำรองสำหรับภาระหนี้สินดังกล่าว และมี เงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ระบุในสัญญา (ดูหมายเหตุข้อ 5) ในวันที่ทำสัญญากู้ยืมเงินข้างต้น บริษัทย่อยแห่งนั้นได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารต่าง ประเทศแห่งหนึ่ง สัญญามีผลบังคับให้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราคงที่ ร้อยละ 8.12 ต่อ ปี สำหรับเงินกู้ยืม 141 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัญญานี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2537 ถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2547 เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement สัญญา Bank Credit Agreement และสัญญา Tranche B Vat Credit Agreement สัญญาแต่ละฉบับลง วันที่ 3 มิถุนายน 2539 โดยมีวงเงินกู้ยืมรวมคือ 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 225 ล้านบาท โดย กำหนดผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน 12 ปี และ 15 ปี ตามลำดับ และวงเงิน 1,136 ล้านบาท มีกำหนด ผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน 6 เดือนมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตาม LIBOR และ MLR บวกส่วนต่างที่กำหนด ในสัญญา ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2539 บริษัทย่อยแห่งนั้นได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารต่างประ เทศแห่งหนึ่ง สัญญามีผลบังคับให้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตาม LIBOR บวกส่วนต่างที่กำหนดเป็นอัตรา คงที่ร้อยละ 8.0275 สำหรับเงินกู้ยืม 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐและอัตราคงที่ ร้อยละ 11 ต่อปีสำหรับ เงินกู้ยืม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินกู้ยืม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐดังกล่าว บริษัทได้ทำสัญญาแลก เปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาท สัญญานี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2551 เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ดังกล่าวมีการจดจำนองที่ดิน อาคารและจดจำนำอุปกรณ์ ของโรงไฟฟ้าตามที่ระบุในสัญญาและมีสัญญาจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่เจ้าหนี้เงินกู้ยืมเพื่อเป็นหลักประกัน 5.หุ้นกู้ หุ้นกู้เป็นหุ้นกู้ของบริษัทย่อย 2 แห่ง ประกอบด้วย หน่วย : พันบาท 2539 2538 หุ้นกู้ 10,960,000 3,500,000 หัก ส่วนที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี (252,860) (40,000) 10,707,140 3,460,000 หุ้นกู้ของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement (ดูหมายเหตุข้อ 4) และ สัญญา Debenture Holder Representative Appointment Agreement NO.1 และ NO.2 สัญญาแต่ละฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2537 หุ้นกู้ครั้งที่ 1 แบ่งเป็น 4 ส่วน อายุ 5 ปี 7 ปี 10 ปี และ 12 ปี โดยมีกำหนด ไถ่ถอนในปี 2542 2544 2547 และ 2549 หุ้นกู้ครั้งที่ 2 แบ่งเป็น12 ส่วน อายุ 1-12 ปี โดยมีกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ตั้งแต่ปี 2538-2549 มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ11.25 ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง หุ้นกู้ของบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement (ดูหมายเหตุข้อ 4) และข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออก หุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ และเป็นหุ้นกู้มีประกันชนิดระบุชื่อผู้ถือ จำนวน 750,000 หน่วย มีมูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 10,000 บาท โดยมีมูลค่ารวมหุ้นกู้ จำนวน 7,500 ล้านบาท ซึ่งได้เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป อายุหุ้นกู้ 15 ปี นับจากวันออกหุ้นกู้คือวันที่ 14 มิถุนายน 2539 วันครบกำหนดไถ่ถอน เป็นงวด ๆ ทุก 6 เดือน ตั้งแต่ปี 2539 ถึง 2554 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 11.5625 ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง หุ้นกู้ของบริษัทย่อย 2 แห่งดังกล่าวมีการจดจำนองที่ดิน อาคารและจดจำนำอุปกรณ์ของโรงไฟฟ้าตามที่ ระบุในสัญญาและมีสัญญาจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้เพื่อเป็นหลักประกันสัญญา 6.ทุนเรือนหุ้น ผู้ถือหุ้นบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2538 ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 4,000 ล้านบาท เป็น 5,300 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 130 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ซึ่งบริษัทได้จดทะเบียนมติเพิ่มทุนกับกรมทะเบียนการค้าแล้วเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2538 ตามมติผู้ถือหุ้นดังกล่าวข้างต้นให้นำหุ้นสามัญใหม่ออกจัดสรรดังนี้ -เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 40 ล้านหุ้น ในสัดส่วนหุ้นเดิม 10 หุ้นต่อหุ้นสามัญ ใหม่ 1 หุ้น ในราคาหุ้นละ 30 บาท บริษัทได้รับชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้วและได้จดทะเบียนเพิ่มทุน กับกรมทะเบียนการค้าแล้ว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538 เสนอขายหุ้นสามัญใหม่ให้แก่ประชาชน ทั่วไปเป็นจำนวน 80 ล้านหุ้น ซึ่งราคาเสนอขายให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการของบริษัท -ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวน 10 ล้านหน่วย โดยเสนอขายให้แก่พนักงานของ บริษัทและบริษัทในเครือในราคาหน่วยละ 0 บาท และใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยมีสิทธิในการ จองซื้อหุ้นสามัญใหม่ 1 หุ้น ในราคา 30 บาท โดยกำหนดให้ใช้สิทธิภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อมาคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 ให้เสนอขายหุ้นดังกล่าวให้แก่ผู้ ลงทุนในประเทศจำนวน 56 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 72 บาท และเสนอขายแก่ผู้ ลงทุนในต่างประเทศจำนวน 24 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 83 บาท บริษัทได้รับเงินชำระค่าหุ้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 6,024 ล้านบาทครบถ้วนแล้ว และได้จดทะ เบียนเพิ่มทุนชำระแล้วกับกรมทะเบียนการค้าเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2539 ดังนั้นจึงมีทุนชำระ แล้วเพิ่มขึ้นจำนวน 800 ล้านบาท และมีส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 5,224 ล้านบาท ต่อมาคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2539 โดยมอบอำนาจให้กรรมการผู้มี อำนาจของบริษัทเป็นผู้กำหนดและแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดของการออกและเสนอขายใบสำคัญ แสดงสิทธิตามที่เห็นสมควรและจำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งหรือคำแนะนำของสำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง 7.รายได้ค่าไฟฟ้า รายได้ค่าไฟฟ้าในส่วนของรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้าของบริษัทย่อย 2 แห่ง ตั้งแต่เริ่มดำเนินงาน จนถึงไตรมาสสิ้นสุดเพียงวันที่ 30 กันยายน 2539 ไม่ได้รวมคำนวณต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ ซึ่ง เป็นผลมาจากการที่บริษัทยังไม่มีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทยเป็นผู้รับภาระต้นทุนก๊าซธรรมชาติจนกว่าบริษัทดังกล่าวจะมีสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยตามเงื่อนไขของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งต้องรอผลการเจรจาระหว่าง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 8.ภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากการผลิตไฟฟ้า โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติ บุคคลเป็นเวลา 8 ปี (ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2538 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2546) และได้รับ ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติมีกำหนดเวลา 5 ปี นับจากพ้นกำหนดเวลา 8 ปีดังกล่าว(ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2551) สำหรับรายได้อื่นที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 9. สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในปี 2537 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สัญญาดังกล่าวมีอายุ 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2537 ในปี 2539 บริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สัญญาดังกล่าวมีอายุ 15-20 ปี นับตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2539 10.การจัดประเภทรายการ งบการเงินระหว่างกาลรวมประจำไตรมาสสิ้นสุดเพียงวันที่ 30 กันยายน 2538 บางรายการได้ มีการจัดประเภทใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับการแสดงรายการในงบการเงินระหว่างกาลรวมประจำ ไตรมาสสิ้น สุดเพียงวันที่ 30 กันยายน 2539