19 พฤศจิกายน 2540
การเงินรวม บมจ.ผลิตไฟฟ้าและบริษัทย่อย(แก้ไข) 30 กย.40
- 5 -
6. เงินลงทุนและเงินให้กู้ยืม
เงินลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกัน ประกอบด้วย
หน่วย : พันบาท
ถือหุ้นร้อยละ 30 กันยายน 2540 30 กันยายน 2539
- เงินลงทุนในบริษัทร่วม
บริษัท เอ็กโก ธุรกิจเหมือง จำกัด 40.00 43,800 16,885
บริษัท อมตะ เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด 30.00 209,403 -
บริษัท บางจากเพาเวอร์ จำกัด 30.00 12,000 3,000
บริษัท ซีเอ็มเอสโก จำกัด 50.00 1,000 -
266,203 19,885
- เงินลงทุนในหุ้นกู้ของกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 18,028 -
284,231 19,885
7. ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้รับโอนโรงไฟฟ้าขนอมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง
ประเทศไทย ตามสัญญาซื้อขายโรงไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
8. เงินกู้ยืมระยะยาว
เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทย่อย 2 แห่ง เป็นเงินกู้ยืมสกุลเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐจากสถาบันการ
เงินต่าง ๆ ดังนี้
หน่วย : พันบาท
30 กันยายน 2540 30 กันยายน 2539
เงินกู้ยืมสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ 15,209,273 13,553,911
เงินกู้ยืมสกุลเงินบาท 5,546,080 3,319,250
20,755,353 16,873,161
หัก ส่วนที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี (1,010,450) (733,102)
19,744,903 16,140,059
.../6
- 6 -
เงินกู้ยืมของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement สัญญา Credit
Agreement และสัญญา Institutional Loan Agreement สัญญาแต่ละฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน
2537 ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมจำนวน 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 3,550 ล้านบาท โดยเป็นเงินกู้ยืม
จากวงเงินรวมคือ 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 4,200 ล้านบาท มีกำหนดผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน
10 ปี 12 ปี และ 15 ปี และมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัวตาม LIBOR บวกและ MLR ลบส่วนต่างที่กำหนด
และอัตราดอกเบี้ยคงที่ตามที่กำหนดในสัญญา
สัญญา Master Agreement ดังกล่าวมีข้อกำหนดให้กันเงินสำรองสำหรับภาระหนี้สินดังกล่าว และมี
เงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ระบุในสัญญา (ดูหมายเหตุข้อ 9)
ในวันที่ทำสัญญากู้ยืมเงินข้างต้น บริษัทย่อยแห่งนั้นได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกับธนาคาร
ต่างประเทศแห่งหนึ่ง สัญญามีผลบังคับให้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราคงที่ ร้อยละ 8.12 ต่อปี
สำหรับเงินกู้ยืม 141 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัญญานี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2537 ถึงวันที่ 7
ธันวาคม 2547
เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement และสัญญา
Bank Credit Agreement สัญญาแต่ละฉบับลงวันที่ 3 มิถุนายน 2539 ซึ่งประกอบด้วย
- วงเงินกู้ยืม 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กำหนดผ่อนชำระคืนเงินต้นภายใน 12 ปี อัตราดอกเบี้ยลอยตัว
ตาม LIBOR บวกส่วนต่างที่กำหนด สัญญานี้มีข้อกำหนดให้กันเงินสำรองสำหรับภาระหนี้สิน
ดังกล่าว และมีเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ระบุในสัญญา (ดูหมายเหตุข้อ 9)
- วงเงินกู้ยืม 225 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี อัตราดอกเบี้ย MLR ลบส่วนต่างที่กำหนด ขณะนี้ยังไม่ได้
มีการเบิกใช้
ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2539 บริษัทย่อยข้างต้นได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน
ต่างประเทศแห่งหนึ่ง สัญญามีผลบังคับให้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราคงที่ร้อยละ 8.0275
ต่อปี สำหรับเงินกู้ยืม 165 ล้านดอลลาร์สหรัฐและอัตราคงที่ร้อยละ 11 ต่อปี สำหรับเงินกู้ยืม 100
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินกู้ยืม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐดังกล่าว บริษัทได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนเป็นสกุล
เงินบาท สัญญานี้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2551
.../7
- 7 -
เงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทย่อยทั้ง 2 แห่ง ดังกล่าวมีการจดจำนองที่ดิน และอาคารและจดจำนำ
อุปกรณ์ของโรงไฟฟ้าตามที่ระบุในสัญญาและมีสัญญาจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่เจ้าหนี้เงินกู้ยืมเพื่อ
เป็นหลักประกัน
9. หุ้นกู้
หุ้นกู้เป็นหุ้นกู้ของบริษัทย่อย 2 แห่ง ประกอบด้วย
หน่วย : พันบาท
30 กันยายน 2540 30 กันยายน 2539
หุ้นกู้ 10,707,140 10,960,000
หัก ส่วนที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี (287,002) (252,860)
10,420,138 10,707,140
หุ้นกู้ของบริษัทย่อยแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement (ดูหมายเหตุข้อ 8) และ
สัญญา Debenture Holder Representative Appointment Agreement NO.1 และ NO.2
สัญญาแต่ละฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2537 หุ้นกู้ครั้งที่ 1 แบ่งเป็น 4 ส่วน อายุ 5 ปี 7 ปี 10 ปี
และ 12 ปี โดยมีกำหนดไถ่ถอนในปี 2542 2544 2547 และ 2549 หุ้นกู้ครั้งที่ 2 แบ่งเป็น
12 ส่วน อายุ 1-12 ปี โดยมีกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ตั้งแต่ปี 2538-2549 มีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 11.25
ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
หุ้นกู้ของบริษัทย่อยอีกแห่งหนึ่งเป็นเงินกู้ยืมภายใต้สัญญา Master Agreement (ดูหมายเหตุข้อ 8) และ
ข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ และเป็นหุ้นกู้มีประกันชนิดระบุชื่อผู้ถือ
หุ้นจำนวน 750,000 หน่วย มีมูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 10,000 บาท โดยมีมูลค่ารวมหุ้นกู้ จำนวน 7,500
ล้านบาท ซึ่งได้เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป อายุหุ้นกู้ 15 ปี นับจากวันออกหุ้นกู้คือวันที่ 14 มิถุนายน
2539 วันครบกำหนดไถ่ถอน เป็นงวด ๆ ทุก 6 เดือน ตั้งแต่ปี 2539 ถึง 2554 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่
ร้อยละ 11.5625 ต่อปี และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง
หุ้นกู้ของบริษัทย่อย 2 แห่งดังกล่าวมีการจดจำนองที่ดิน และอาคารและจดจำนำอุปกรณ์ของโรงไฟฟ้า
ตามที่ระบุในสัญญาและมีสัญญาจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้เพื่อเป็นหลักประกัน
.../8
- 8 -
10. ทุนเรือนหุ้น
ผู้ถือหุ้นบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2538 ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 4,000 ล้านบาทเป็น
5,300 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 130 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ซึ่ง
บริษัทได้จดทะเบียนมติเพิ่มทุนกับกรมทะเบียนการค้าแล้วเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2538
ตามมติผู้ถือหุ้นดังกล่าวข้างต้นให้นำหุ้นสามัญใหม่ออกจัดสรรดังนี้
- เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 40 ล้านหุ้น ในสัดส่วนหุ้นเดิม 10 หุ้นต่อหุ้นสามัญ
ใหม่ 1 หุ้น ในราคาหุ้นละ 30 บาท บริษัทได้รับชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้วและได้จดทะเบียนเพิ่มทุน
กับกรมทะเบียนการค้าแล้ว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2538
- ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญจำนวน 10 ล้านหน่วย โดยเสนอขายให้แก่พนักงานของ
บริษัทและบริษัทในเครือในราคาหน่วยละ 0 บาท และใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยมีสิทธิในการ
จองซื้อหุ้นสามัญใหม่ 1 หุ้น ในราคา 30 บาท โดยกำหนดให้ใช้สิทธิภายใน 1 ปีนับตั้งแต่วันที่
ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ
ต่อมาคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2539 ให้เสนอขายหุ้นดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุน
ในประเทศจำนวน 56 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 72 บาท และเสนอขายแก่ผู้ลงทุนในต่าง
ประเทศจำนวน 24 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 83 บาท
บริษัทได้รับเงินชำระค่าหุ้นจากการเสนอขายหุ้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 6,024 ล้านบาทครบถ้วนแล้ว
และได้จดทะเบียนเพิ่มทุนเรียกชำระแล้วกับกรมทะเบียนการค้าเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2539 ดังนั้นจึง
มีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นจำนวน 800 ล้านบาท และมีส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 5,224 ล้านบาท
คณะกรรมการบริษัทได้มีมติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2539 มอบอำนาจให้กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท
เป็นผู้กำหนดและแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดของการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิตามที่เห็น
สมควรและจำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งหรือคำแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ หรือหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง และบริษัทจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น
สามัญจำนวนที่จัดสรร 10 ล้านหน่วย ระยะเวลาโครงการ 5 ปีในสัดส่วน 22%, 21%, 20%, 19% และ
18% ในปีที่ 1-5 ตามลำดับ โดยเสนอขายให้แก่พนักงานของบริษัทและบริษัทในเครือ ราคาที่ใช้สิทธิ 30
บาทต่อหุ้น โดยจะให้ใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ในวันที่ 17 เมษายน 2540 หรือวันที่ครบกำหนดหนึ่งปี
นับจากวันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ
.../9
- 9 -
สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นที่เหลือหลังจากเสนอขายภายใน 5 ปีแล้ว ให้อยู่ในดุลยพินิจของ
ที่ประชุมผู้ถือหุ้น
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2540 พนักงานของบริษัท และบริษัทในเครือได้ใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะ
ซื้อหุ้นสามัญในปีแรกจำนวน 1,233,800 หุ้น ราคาที่ใช้สิทธิ 30 บาทต่อหุ้น บริษัทได้รับเงินชำระค่าหุ้น
จากการเสนอขายหุ้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 37,014,000 บาท ครบถ้วนแล้ว และได้จดทะเบียนเพิ่มทุน
ชำระแล้วกับกรมทะเบียนการค้าเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2540 ดังนั้นจึงมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นจำนวน
12,338,000 บาท และมีส่วนล้ำมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นจำนวน 24,676,000 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2540 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติให้จัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะ
ซื้อหุ้นสามัญในปีที่2 ให้แก่กรรมการบริษัทและบริษัทย่อยที่จะมีสิทธิได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดง
สิทธิ จำนวน 124,900 หน่วย
11. สำรองตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด บริษัทจะต้องจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีส่วนหนึ่งไว้เป็นทุน
สำรองไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของกำไรสุทธิประจำปี หักด้วยยอดขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) จนกว่าทุน
สำรองนี้จะมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของทุนจดทะเบียน
บริษัทจัดสรรสำรองตามกฎหมายจากกำไรสุทธิปีปัจจุบันที่ไม่รวมส่วนได้เสียในกำไรสุทธิที่ยังไม่ได้
แบ่งของบริษัทย่อย
12. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
บริษัทและบริษัทย่อยได้จัดตั้งกองทุนเงินสะสมพนักงานสำหรับพนักงานของบริษัทและบริษัทย่อยที่
สมัครเป็นสมาชิกของกองทุนโดยหักจากเงินเดือนของพนักงานส่วนหนึ่งและบริษัทจ่ายสมทบให้อีก
ส่วนหนึ่ง บริษัทและบริษัทย่อยได้แต่งตั้งผู้จัดการกองทุนเพื่อบริหารกองทุนดังกล่าวตามกฎเกณฑ์และ
ข้อกำหนดพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530
/10
(ยังมีต่อ)