EN | TH
14 พฤศจิกายน 2545

คำอธิบายงบการเงินไตรมาสที่ 3

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ 30 กันยายน 2545 หมายเหตุ:คำอธิบายและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าข้อมูลมีความถูกต้องและครบถ้วนและแสดงถึงวิสัยทัศน์ของ ฝ่ายบริหาร เพื่อให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อย่างไรก็ตาม คำอธิบายและการวิเคราะห์ดังกล่าวขึ้นกับปัจจัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น ข้อมูลที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคตในบทวิเคราะห์ฉบับน อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ข้อมูล และหากมีคำถาม หรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์และวิเคราะห์ธุรกิจ ฝ่ายการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5157 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของภาครัฐ โดยให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ปัจจุบัน บผฟ.มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งประกอบด้วย กฟผ. ร้อยละ 25.43 บจ.ซีแอลพี เพาเวอร์ โปรเจ็คส์ ร้อยละ 22.44 ผู้ลงทุนทั่วไป ร้อยละ 52.13 โดยมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศรวมไม่เกินร้อยละ 45 โครงสร้างบริษัทของ บผฟ. อยู่ในลักษณะโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึง ธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผล และ ส่วนแบ่งรายได้และผลกำไรจากบริษัทย่อย กิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และความสามารถหรือระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการ ของบริษัทย่อย และการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า 1.1 การวิเคราะห์รายได้ ใน 9 เดือนแรกของ ปี 2545 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า จำนวน 9,301 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2544 เพิ่มขึ้นจำนวน 464 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.25 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) รายได้ค่าไฟจากบริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 6,976.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2544 จำนวน 361 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.46 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก บฟข. 602 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าไฟของ บฟร. ลดลง 241 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการ กู้ยืมเงินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟ โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟที่ได้รับจากการชดเชยจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว 9 เดือน เป็นเงิน 898 ล้านบาท 2) ส่วนแบ่งรายได้ค่าไฟจากกิจการร่วมค้า คือบริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก(จีอีซี) โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น(โคแนล) และ บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) (เอพีบี) จำนวน 1,493 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 157 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้เป็นปีแรกจาก เอพีบี ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของ บรพ. ที่ได้มาจากการร่วมทุนกับยูโนแคลเมื่อปลายปี 2544 3) รายได้ค่าขายน้ำ จากบริษัทย่อยคือ เอ็กคอมธารา จำนวน 92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้เต็ม 9 เดือน ในขณะที่ปีที่แล้ว เริ่มจำหน่ายน้ำในเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแรก 4) รายได้ค่าบริการ จำนวน 191 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 85 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก ให้กับบริษัทนอกเครือของ บผฟ. 5) รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 505 ล้านบาท ลดลง 205 ล้านบาท หรือร้อยละ 29 สาเหตุหลักคือการลดลงของอัตราดอกเบี้ยจากสถาบัน การเงิน และการนำเงินสดไปลงทุนและชำระหนี้ 6) ส่วนแบ่งผลกำไรจากบริษัทร่วม คือ บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ (เออีพี) และ อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำนวน 43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน บผฟ. ได้รับส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 6 ล้านบาท อันเป็นผลจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน 1.2 การวิเคราะห์รายจ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า ใน 9 เดือนแรก ของปี 2545 จำนวน 6,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 366 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1) ต้นทุนขาย จำนวน 3,242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 380 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.28 สาเหตุหลักคือ ต้นทุนขายของ บฟร. และ บฟข. รวมกันเพิ่มขึ้น 231 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากค่าซ่อมบำรุงรักษาหลัก นอกจากนี้ยังมีต้นทุนขายของ เอพีบี ซึ่งเริ่มรับรู้ในปี 2545 จำนวน 130 ล้านบาท อีกทั้งยังมีจากต้นทุนขายของ เอ็กคอมธารา เพิ่มขึ้นจำนวน 9 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสนี้รับรู้เต็ม 9 เดือน บฟร. และ บฟข. มีแผนการซ่อมบำรุงรักษาหลัก ในปี 2545 สูงกว่าปีก่อน โดยปกติ ในครึ่งปีหลัง โรงไฟฟ้ามักจะทำการหยุดเดินเครื่องเป็นเวลานานกว่า เพื่อซ่อมบำรุงรักษา เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักคืออุณหภูมิ ซึ่งทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีปริมาณน้อยลงในครึ่งปีหลัง ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงรักษาจะถูกบันทึกเมื่อได้เกิดขึ้น ฉะนั้นในครึ่งปีหลังต้นทุนขายซึ่งได้รวมค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบำรุงรักษาด้วยนั้น มีแนวโน้มสูงกว่า ในครึ่งปีแรก 2) ต้นทุนบริการ จำนวน 147.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น 3) ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและอื่นๆ จำนวน 633 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.6 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ค่าใช้จ่ายในการ บริหารของ บผฟ. เพิ่มขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลขาดทุนจากการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า จำนวน 38 ล้านบาท ดังที่เคยกล่าวไว้ในบทวิเคราะห์ของไตรมาสที่ 2 ปี 2545 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของบริษัทอื่นๆในเครือลดลง ผลขาดทุนจากการทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าดังกล่าวแล้วว่า เกิดจากการที่ บผฟ. ได้เตรียมไว้สำหรับการลงทุนเพิ่มสัดส่วนในจีอีซี (ซึ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก) ตามแผนการลงทุน แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวตามที่ประมาณการ และภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย ฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว รวมทั้งความจำเป็นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก จึงตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าว ประกอบกับภาวะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังมีความผันผวน จึงได้ดำเนินการขายสัญญาดังกล่าวเพื่อให้ผลขาดทุนต่ำสุด อย่างไรก็ตาม บผฟ. มีความเห็นว่าผลขาดทุนดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญ และขณะนี้ บผฟ. อยู่ในระหว่างการปรับปรุงกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ 4) รายการขาดทุนจากการด้อยค่า จำนวน 342 ล้านบาท จากโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 ดังที่เคยรายงานในไตรมาสที่แล้วถึงสาเหตุจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก แม้ว่า ผู้ดำเนินโครงการสามารถเรียกร้องค่าชดเชยในกรณีที่ กฟผ. ยกเลิกโครงการ แต่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าจะได้รับเงิน บผฟ. ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและมีความจำนงในการดำเนินโครงการอย่างรอบคอบและระมัดระวังโดยคำนึงถึงมูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ จึงพิจารณารับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการดังกล่าวหลังจากได้ประเมินมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนจากเงินลงทุน ผลขาดทุนจากการด้อยค่า เป็นจำนวน 222 ล้านบาทและสำรองเผื่อการด้อยค่าของค่าความนิยมซึ่งเกิดจากการซื้อกิจการโครงการบ่อนอกอีกจำนวน 120 ล้านบาทรวมเป็น เงินจำนวน 342 ล้านบาท 5) ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 2,111 ล้านบาท ลดลง 452 ล้านบาท หรือร้อยละ 17.64 สาเหตุของการลดลงมาจาก การลดลงของดอกเบี้ยจ่ายของ บผฟ. 122 ล้านบาท บฟร. 165 ล้านบาท บฟข. 72 ล้านบาท จีอีซี 35 ล้านบาท และโคแนล 71 ล้านบาท อันเป็นผลจากปัจจัยหลักคือ ยอดเงินต้นที่ลดลง และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นแข็งตัวขึ้นกว่างวดก่อน และอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของ บผฟ. ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายของ เอ็กคอมธารา เพิ่มขึ้นเนื่องจากรับรู้เต็ม 9 เดือนและ เอพีบี เพิ่มขึ้นเนื่องจากเพิ่งรับรู้เป็นครั้งแรกในปีนี้ ในส่วนหุ้นกู้ของบผฟ. ในปี 2544 บผฟ. ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของ เงินฝากประจำหกเดือนสกุลเงินบาทบวกด้วยอัตราคงที่ ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายในงวดตุลาคม 2544 ลดลงเหลือร้อยละ 6 ต่อปี ต่อมา บผฟ. ได้ทำสัญญาอีกครั้งหนึ่งเพื่อปิดความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ย ลอยตัวของเงินฝากประจำหกเดือนสกุลเงินบาทบวกด้วยอัตราคงที่ เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.95 ต่อปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 เมษายน 2545 1.3 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิ สำหรับ 9 เดือนสิ้นสุด ณ 30 กันยายน 2545 เป็นจำนวน 2,802 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 495 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21.45 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 158 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว บผฟ. เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 262 ล้านบาทกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็น เงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 กันยายน 2545) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2544) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว กำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก จำนวน 2,644 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 75 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.92 เมื่อพิจารณาจากผลกำไรสุทธิ สรุปได้ว่า บผฟ. มีผลการดำเนินงานไม่แตกต่างจากปีก่อนมากนัก เนื่องจากรายได้หลักของ บผฟ. ยังคงมาจาก 2 บริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. ซึ่งมีสัญญาซื้อขายระยะยาวกับ กฟผ. ที่มั่นคงโดยมีการ กำหนดอัตราค่าไฟครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ และผลตอบแทนไว้แล้วเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนต่อเงินลงทุนในอัตราร้อยละ 20 และ 19 สำหรับ บฟร. และ บฟข. ตามลำดับ ตลอดอายุสัญญา ดังนั้นการพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมเมื่อพิจารณาประกอบกับประมาณการผลการดำเนินงานในทุกบริษัทย่อย กิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม อาจกล่าวได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทนอกเหนือจาก บฟร. และ บฟข. ยังอยู่ในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัทย่อยหลัก ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างยังไม่สร้างรายได้ในขณะนี้ อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ณ สิ้นงวดไตรมาสที่ 3 ปี 2545 มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อรายได้รวม เท่ากับร้อยละ 28.43 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 5.03 บาท 1.4 การวิเคราะห์ผลขยายตัวของธุรกิจ นโยบายของ บผฟ. ได้คำนึงถึงความสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นมากยิ่งขึ้น จึงได้พยายามปรับกลยุทธ์ที่จะขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง ควบคู่กับการรักษาคุณภาพ ของกิจการทรัพย์สินทุกโครงการและเครดิตให้อยู่ในระดับที่ดี เพื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนบนมูลค่าที่เพิ่มขึ้นและผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง จึงพยายามคัดสรรลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ บผฟ. มีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้เสร็จสมบูรณ์ โดยในปี 2546 บผฟ. จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ ทีแอลพีโคเจน และร้อยเอ็ดกรีน ที่มีกำหนดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในเดือน มกราคม และ เมษายน ปี 2546 ตามลำดับ ส่วนในกรณีของ บฟร. และ บฟข. ที่เป็นบริษัทย่อยหลัก และ บผฟ. ได้รับรายได้ส่วนใหญ่จาก 2 บริษัทนี้นั้น ในบางปีที่อัตราค่าไฟตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดไว้เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาหลักใหญ่ (Major Overhaul) แต่ด้วยการจัดการด้านการซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและต้องบันทึกในงบการเงิน ตามมาตรฐานการบัญชีนั้น อาจต่ำกว่าที่ใช้กำหนดในอัตราค่าไฟหรือรายได้ค่าไฟ เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2545 จีอีซี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าของ บผฟ. และ บผฟ. ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 50 ได้มีการลงนามในสัญญา Share Sale and Purchase กับ Tractebel S.A. เพื่อซื้อหุ้นร้อยละ 100 ในบริษัท หนองแคโคเจเนอเรชั่น จำกัด (หนองแค) และบริษัท สมุทรปราการโคเจเนอเรชั่น จำกัด (สมุทรปราการ) มูลค่ารวมทั้งสิ้น 94.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้บผฟ.มีกำลังการผลิตผูกพันรวม 2,912 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 125 เมกะวัตต์ จากปี 2544 (ณ 30 กันยายน 2545 การซื้อขายยังไม่แล้วเสร็จ) บผฟ. เลือกลงทุนผ่าน จีอีซี โดยเชื่อว่าจะเอื้อประโยชน์ในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันของทรัพยากรบุคคล และ อะไหล่ของโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังสามารถบริหารแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ตลอดเวลา และลดค่าซื้อไฟฟ้าสำรองจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อนึ่ง บผฟ. มีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิและสำหรับปี 2545 บริษัทยังมีนโยบายที่จะ รักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 2 บาท โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนที่ต้องใช้ในโครงการที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน 2. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 2.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 54,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,474 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2.78 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2544 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 6,205 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.40 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 162 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.55 เนื่องจากบผฟ.ได้ใช้เงินส่วนใหญ่ในการชำระหนี้ จำนวน 2,087 ล้านบาท และใช้ไปในกิจกรรมลงทุน โดยส่วนใหญ่เพื่อการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน การลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 125 ล้านบาท จ่ายเงินปันผล จำนวน 1,407 ล้านบาท ในขณะที่มีเงินสดรับจากการดำเนินงาน จำนวน 3,777 ล้านบาท และ เงินสดรับจากการเบิกเงินกู้ของ ทีแอลพีโคเจน จำนวน 1,417 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 11,265 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.69 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 987 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.6 เพื่อกันเป็นเงินสำรองในการชำระหนี้ โดยบางส่วนเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สรอ. 3) เงินลงทุนในบริษัทร่วมและอื่นๆ เป็นจำนวน 880 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.62 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท หรือร้อยละ 23.55 ซึ่ง เป็นการเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 125 ล้านบาท และได้รับส่วนแบ่งผลกำไรจาก เออีพี และอมตะ เอ็กโก เพาเวอร์ เซอร์วิส จำนวน 43 ล้านบาท 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 29,235 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.70 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 237 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.82 เนื่องมา จากสาเหตุหลักคือ การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมอื่นๆ โดยส่วนใหญ่คือ การก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน จำนวน 1,868 ล้านบาท โรงไฟฟ้า ร้อยเอ็ดกรีน จำนวน 253 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการตัดค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายทรัพย์สินจำนวน 1,958 ล้านบาท 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 6,854 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.59 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 245 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.70 การเพิ่มของ สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้า วัสดุสำรองคลัง และอื่นๆ ในขณะที่มีการตั้งสำรองขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการบ่อนอก 1.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 33,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.08 เนื่องจากการเบิกเงินกู้สำหรับการก่อสร้าง โรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน และ โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 31,855 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 388 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 211 ล้านเยน - เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 117 ล้านเปโซ - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 4,153 ล้านบาท - หุ้นกู้ จำนวน 10,522 ล้านบาท 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 1,954 ล้านบาท ส่วนใหญ่ได้แก่ ดอกเบี้ยค้างจ่าย เงินเบิกเกินบัญชี เจ้าหนี้การค้า ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่าย และเงินปันผลค้างจ่าย นอกจากนี้ บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรองเพื่อภาระผูกพันในการชำระหนี้ไว้ในอัตรา ร้อยละ 25 ของภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถนำเงินที่สำรองนี้ มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระผูกพันดังกล่าว ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ บผฟ. ดังกล่าวเป็นจำนวน 300 ล้านบาท และมีส่วนที่ต้องสำรองเพิ่มอีกจำนวน 67 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ 1.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและหักหุ้นที่ซื้อคืน) เป็นเงินจำนวน 19,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 1,438 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน งวด 9 เดือนแรกของปี 2545 กำไรจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ แม้ว่ามีผลขาดทุนจากการแปลงค่างบการเงินต่างประเทศ จำนวน 62 ล้านบาท จากการวิเคราะห์สินทรัพย์และหนี้สินข้างต้น สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 20,630 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.90 หนี้สิน จำนวน 33,809 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.10 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2545 ได้ดังนี้ - อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.64 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.76 เท่า - อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.79 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.89 เท่า - มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 39.17 บาท สูงกว่ากว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 35.26 บาท 3. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสด และรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็นเงินจำนวน 3,324 ล้านบาท ลดลงจากต้นงวด 316 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 3,777 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนแรก ปรับด้วยรายการที่ไม่ใช่เงินสด และรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน เช่น ค่าเสื่อมราคา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น กำไรจากการขายหลักทรัพย์ เงินปันผลรับ และส่วนของผู้ถือหุ้นน้อย และปรับด้วยการเปลี่ยนแปลงจากสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 2,257 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ไปในโครงการ ทีแอลพีโคเจน ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 1,705 ล้านบาท โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน จำนวน 231 ล้านบาท และการลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 125 ล้านบาท ขณะที่ได้เงินปันผลรับจากโคแนล และ อีสวอเตอร์ จำนวน 143 ล้านบาท และ 32 ล้านบาท ตามลำดับ - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 1,836 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักคือ การชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 2,087ล้านบาท ซื้อหุ้นคืน จำนวน 52 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผล จำนวน 1,407 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับเงินจากการก่อหนี้เพิ่ม จากทีแอลพีโคเจนจำนวน 1,417 ล้านบาท โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน จำนวน 188 ล้านบาท และเออีพี ในส่วนของบผฟ. จำนวน 10 ล้านบาท โดยสรุป บผฟ. มีนโยบายในการบริหารเงินทุนโดยคำนึงถึงมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัททั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งหมายถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ จึงวางแผนการลงทุนอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้เสร็จสมบูรณ์ และการรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีคุณภาพเท่านั้น 8