28 กุมภาพันธ์ 2546
คำอธิบายงบการเงินประจำปี
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2545
หมายเหตุ:คำอธิบายและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่าข้อมูลมีความ
ถูกต้องและครบถ้วนและแสดงถึงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหาร เพื่อให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจ
ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายและการวิเคราะห์ดังกล่าวขึ้นกับปัจจัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น ข้อมูลที่กล่าวถึง
เหตุการณ์ในอนาคตในบทวิเคราะห์ฉบับนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต
ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ข้อมูล และหากมีคำถาม หรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่
ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์และวิเคราะห์ธุรกิจ ฝ่ายการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5157-8
หรือ email : i
r@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจของภาครัฐ โดยให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
ปัจจุบัน บผฟ.มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นซึ่งประกอบด้วย กฟผ. ร้อยละ 25.41 บจ.ซีแอลพี เพาเวอร์ โปรเจ็คส์ ร้อยละ 22.42 ผู้ลงทุนทั่วไป ร้อยละ 52.17
โดยมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศรวมไม่เกินร้อยละ 45
โครงสร้างบริษัทของ บผฟ. อยู่ในลักษณะโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน
โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผล และ ส่วนแบ่งรายได้และผลกำไรจากบริษัทย่อย กิจการร่วมค้า และบริษัทร่วม
การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และความสามารถหรือระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย
และการระดมเงินกู้สำหรับโครง
การใหม่ได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
1.1 การวิเคราะห์รายได้
ในปี 2545 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า จำนวน 12,060 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2544 เพิ่มขึ้นจำนวน 411 ล้านบาท
หรือร้อยละ 4 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) รายได้ค่าไฟจากบริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 8,963 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2544 จำนวน 326 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก
บฟข. 621 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าไฟของ บฟร. ลดลง 295 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า
ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)
และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟ
โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟที่ได้รับจากการชดเชยจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นเงิน 1,153 ล้านบาท
2) ส่วนแบ่งรายได้ค่าไฟจากกิจการร่วมค้า คือบริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก(จีอีซี) โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น(โคแนล) และ บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) (เอพีบี)
จำนวน 2,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 343 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการรับรู้ส่วนแบ่งรายได้เป็นปีแรกจาก เอพีบี
ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าของ บรพ. ที่ได้มาจากการร่วมทุนกับยูโนแคลเมื่อปลายปี 2544
3) รายได้ค่าขายน้ำ จากบริษัทย่อยคือ เอ็กคอมธารา จำนวน 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้เต็มปี ในขณะที่ปีที่แล้ว
เริ่มจำหน่ายน้ำในเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแรก และอัตราการขายน้ำมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2544
4) รายได้ค่าบริการ จำนวน 237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 29 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก
ให้กับบริษัทนอกเครือของ บผฟ. และงานก่อสร้างให้กับบริษัทในเครือ
5) รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 669 ล้านบาท ลดลง 210 ล้านบาท หรือร้อยละ 23 สาเหตุหลักคือการลดลงของอัตราดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน
และการนำเงินสดไปลงทุนและชำระหนี้
6) ส่วนแบ่งผลขาดทุนจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า คือ บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส และโครงการน้ำเทิน
จำนวน 72 ล้านบาท ลดลง 108 ล้านบาท มีสาเหตุหลักจากการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน จำนวน 125 ล้านบาท ในขณะที่ กำไรจาก
เออีพี และ AMESCO เพิ่มขึ้นรวม 17 ล้านบาท
1.2 การวิเคราะห์รายจ่าย
ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า ในปี 2545 จำนวน 9,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 771 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 9 เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
1) ต้นทุนขาย จำนวน 4,719 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 867 ล้านบาท หรือร้อยละ 22 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าซ่อมบำรุงรักษาหลักของบฟข. นอกจากนี้ยังมีต้นทุนขายของ
เอพีบี ซึ่งเริ่มรับรู้ในปี 2545 จำนวน 175 ล้านบาท อีกทั้งยังมีจากต้นทุนขายของ เอ็กคอมธารา จำนวน 55 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจำนวน 8 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้เต็มปีในปี2545
2) ต้นทุนบริการ จำนวน 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้น
3) ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและอื่นๆ จำนวน 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ค่าใช้จ่ายในการบริหารของ บผฟ. เพิ่มขึ้น
อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลขาดทุนจากการซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า จำนวน 38 ล้านบาท
ดังที่เคยกล่าวไว้ในบทวิเคราะห์ของไตรมาสที่ 2 ปี 2545 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของบริษัทอื่นๆในเครือลดลง
ผลขาดทุนจากการทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าดังกล่าวแล้วว่า เกิดจากการที่ บผฟ. ได้เตรียมไว้สำหรับการลงทุนเพิ่มสัดส่วนในจีอีซี
(ซึ่งลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก) ตามแผนการลงทุน แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐ
กิจที่ยังไม่ฟื้นตัวตามที่ประมาณการ และภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย ฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว
รวมทั้งความจำเป็นในการรักษามูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก จึงตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าว
ประกอบกับภาวะอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศยังมีความผันผวน
จึงได้ดำเนินการขายสัญญาดังกล่าวเพื่อให้ผลขาดทุนต่ำสุด อย่างไรก็ตาม บผฟ. มีความเห็นว่าผลขาดทุนดังกล่าวไม่มีนัยสำคัญ และขณะนี้ บผฟ.
อยู่ในระหว่างการปรับปรุงกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ
4) รายการขาดทุนจากการด้อยค่า จำนวน 342 ล้านบาท จากโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก ซึ่งรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 ดังที่เคยรายงานในไตรมาสที่แล้วถึงสาเหตุจากความไม่แน่นอนและความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก
แม้ว่า ผู้ดำเนินโครงการสามารถเรียกร้องค่าชดเชยในกรณีที่ กฟผ. ยกเลิกโครงการ แต่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าจะได้รับเงิน บผฟ.
ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและมีความจำนงในการดำเนินโครงการอย่างรอบคอบและระมัดระวังโดยคำนึงถึงมูลค่าของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
จึงพิจารณารับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการดังกล่าวหลังจากได้ประเมินมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับคืนจากเงินลงทุน
ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเป็นจำนวน 222 ล้านบาทและ
สำรองเผื่อการด้อยค่าของค่าความนิยมซึ่งเกิดจากการซื้อกิจการโครงการบ่อนอกอีกจำนวน 120 ล้านบาทรวมเป็นเงินจำนวน 342 ล้านบาท
5) ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 2,807 ล้านบาท ลดลง 492 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 สาเหตุของการลดลงมาจาก การลดลงของดอกเบี้ยจ่ายของ บผฟ. 97 ล้านบาท
บฟร. 208 ล้านบาท บฟข. 89 ล้านบาท จีอีซี 23 ล้านบาท และโคแนล 87 ล้านบาท เอ็กคอมธารา 2 ล้านบาท อันเป็นผลจากปัจจัยหลักคือ
ยอดเงินต้นที่ลดลง และค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่นแข็งตัวขึ้นกว่างวดก่อน
และอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของ บผฟ. ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายของ เอพีบี เพิ่ม
ขึ้นจำนวน 14 ล้านบาทเนื่องจากเพิ่งรับรู้เป็นครั้งแรกในปีนี้
ในส่วนหุ้นกู้ของบผฟ. ในปี 2544 บผฟ. ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 8 ต่อปี
เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของเงินฝากประจำหกเดือนสกุลเงินบาทบวกด้วยอัตราคงที่ ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายในงวดตุลาคม
2544 ลดลงเหลือร้อยละ 6 ต่อปี ต่อมา บผฟ. ได้ทำสัญญาอีกครั้งหนึ่งเพื่อปิดความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
โดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของเงินฝากประจำหกเดือนสกุลเงินบาทบวก
ด้วยอัตราคงที่ เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 6.95 ต่อปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 21 เมษายน 2545
1.3 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิ จำนวน 2,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากสาเหตุต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 174 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว บผฟ. เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 236 ล้านบาท
กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย
ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวด
ของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 ธันวาคม 2545) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2544)
หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว กำไรสุทธิ จำนวน 2,784 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 391 ล้านบาท หรือร้อยละ 12
โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขาดทุนจากการด้อยค่าและส่วนแบ่งผลขาดทุนจากกิจการร่วมค้า ดังได้กล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ตาม รายได้หลักของ บผฟ. ยังคงมาจาก 2 บริษัทย่อยหลัก คือ บฟร. และ บฟข. ซึ่งมีสัญญาซื้อขายระยะยาวกับ กฟผ.
ที่มั่นคงโดยมีการกำหนดอัตราค่าไฟครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ และผลตอบแทนไว้แล้วเพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทนต่อเงินลงทุนในอัตราร้อยละ 20 และ 19 สำหรับ บฟร.
และ บฟข. ตามลำดับ ตลอดอายุสัญญา ดังนั้นการพิจารณาผลการดำเนินงานของบริษัทโดยรวมเมื่อพิจารณาประกอบกับประมาณการผลการดำเนินงานในทุกบริษัทย่อย
กิจการร่วมค้าและบริษัทร่วม
อาจกล่าวได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทนอกเหนือจาก บฟร. และ บฟข. ยังอยู่ในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทย่อยหลัก
ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างยังไม่สร้างรายได้ในขณะนี้
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้
- อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 57
- อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อรายได้รวม เท่ากับร้อยละ 23
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 5.29 บาท
1.4 การวิเคราะห์ผลขยายตัวของธุรกิจ
นโยบายของ บผฟ. ได้คำนึงถึงความสำคัญในการเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นมากยิ่งขึ้น จึงได้พยายามปรับกลยุทธ์ที่จะขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง
ควบคู่กับการรักษาคุณภาพของกิจการทรัพย์สินทุกโครงการและเครดิตให้อยู่ในระดับที่ดี เ
พื่อการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนบนมูลค่าที่เพิ่มขึ้นและผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง จึงพยายามคัดสรรลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ บผฟ. มีแผนงานที่จะพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้เสร็จสมบูรณ์ โดยในปี 2546 บผฟ. จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ ทีแอลพีโคเจน
และร้อยเอ็ดกรีน ที่มีกำหนดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในเดือน มกราคม และ เมษายน ปี 2546 ตามลำดับ
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2545 จีอีซี ซึ่งเป็นบริษัทร่วมค้าของ บผฟ. และ บผฟ. ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 50 ได้มีการลงนามในสัญญา
Share Sale and Purchase กับ Tractebel S.A. เพื่อซื้อหุ้นร้อยละ 100 ในบริษัท หนองแคโคเจเนอเรชั่น จำกัด (หนองแค)
และบริษัท สมุทรปราการโคเจเนอเรชั่น จำกัด (สมุทรปราการ) มูลค่ารวมทั้งสิ้น 94.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้บผฟ.มีกำลังการผลิตผูกพัน
รวม 2,913 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 126 เมกะวัตต์ จากปี 2544
บผฟ. เลือกลงทุนผ่าน จีอีซี โดยเชื่อว่าจะเอื้อประโยชน์ในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันของทรัพยากรบุคคล
และ อะไหล่ของโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังสามารถบริหารแผนบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับลูกค้าได้ตลอดเวลา
และลดค่าซื้อไฟฟ้าสำรองจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
อนึ่ง บผฟ. มีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิและสำหรับปี 2545
บริษัทยังมีนโยบายที่จะรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผล ไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 2 บาท โดย
ไม่ส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนที่ต้องใช้ในโครงการที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน
2. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
2.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 บผฟ. บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 55,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,908 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2544 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
จำนวน 5,501 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 866 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 เนื่องจาก
บผฟ.ได้ใช้เงินส่วนใหญ่ในการจ่ายเงินปันผล ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน และชำระหนี้
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 10,411 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 133 ล้านบาท
หรือร้อยละ 1 เพื่อกันเป็นเงินสำรองในการชำระหนี้ โดยบางส่วนเป็นเงินสกุล ดอลล่าร์สรอ.
3) เงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 822 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 111 ล้านบาท
หรือร้อยละ 15 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 จำ
นวน 183 ล้านและรับรู้ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ จำนวน 125 ล้านบาท และส่วนแบ่งผลกำไรจาก เออีพี และอมตะ เอ็กโก เพาเวอร์ เซอร์วิส จำนวน 53 ล้านบาท
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 32,034 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 3,035 ล้านบาท หรือร้อยละ 10
เนื่องมาจากสาเหตุหลักคือ การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมอื่นๆ โดยส่วน
ใหญ่คือ โรงไฟฟ้าหนองแค และ โรงไฟฟ้าสมุทรปราการ โรงไฟฟ้า ทีแอลพีโคเจน และ โรงไฟฟ้า ร้อยเอ็ดกรีน
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 7,104 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 496 ล้านบาท หรือร้อยละ 7
การเพิ่มของสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้การค้า วัสดุสำรองคลัง และค่านิยม ในขณะท
มีการตั้งสำรองขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการบ่อนอก
2.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 34,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,145 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 เนื่องจากหนี้สินในส่วนของจีอีซี
โรงไฟฟ้าหนองแค และโรงไฟฟ้าสมุทรปราการ การเบิกเงินกู้สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ท
แอลพีโคเจน และ โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน
ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่
1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 32,444 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 439 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 645 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 126 ล้านเปโซ
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 4,576 ล้านบาท
- หุ้นกู้ จำนวน 9,681 ล้านบาท
2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,481 ล้านบาท ส่วนใหญ่ได้แก่ ดอกเบี้ยค้างจ่าย เงินเบิกเกินบัญชี เจ้าหนี้การค้า ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่าย และเงินปันผลค้างจ่าย
นอกจากนี้ บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรองเพื่อภาระผูกพันในการชำระหนี้ไว้ในอัตราร้อยละ
25 ของภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและบริษัท
ร่วม เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถนำเงินที่สำรองนี้มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระผูกพันดังกล่าว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ บผฟ. ดังกล่าวเป็นจำนวน 400 ล้านบาท
และมีส่วนที่ต้องสำรองเพิ่มอีกซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 54 ล้านบาท
2.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 ส่วนของผู้ถือหุ้น (ไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยและหักหุ้นที่ซื้อคืน) เป็นเงินจำนวน 20,224 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 1,680 ล้านบาท
เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน และ กำไรจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด
จากการวิเคราะห์สินทรัพย์และหนี้สินข้างต้น สามารถวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 ได้ดังนี้
ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 20,948 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37
หนี้สิน จำนวน 34,925 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.67 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.76 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 39.81 บาท สูงกว่ากว่าสิ้นปี 2544 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 35.26 บาท
3. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ
เป็นเงินจำนวน 2,275 ล้านบาท ลดลงจากต้นงวด 1,158 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 6,155 ล้านบาท เป็นผลจากกำไรสุทธิ ปรับด้วยรายการที่ไม่ใช่เงินสด และรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน
เช่น ค่าเสื่อมราคา กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น กำไรจากการขายหลักทรัพย์ เงินปันผลรับ และส่วนของผู้ถือหุ้นน้อย
และปรับด้วยการเปลี่ยนแปลงจากสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุน จำนวน 4,760 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ไปในโครงการโรงไฟฟ้าหนองแค โรงไฟฟ้าสมุทรปราการ โรงไฟฟ้าทีแอลพีโคเจน
โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน และการลงทุนเพิ่มในโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 183 ล้านบาท ขณะที
ได้เงินปันผลรับจากโคแนล และ อีสวอเตอร์ จำนวน 179 ล้านบาท และ 32 ล้านบาท ตามลำดับ
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 2,553 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักคือ การชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 4,190 ล้านบาท
ซื้อหุ้นคืน จำนวน 52 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผล จำนวน 1,412 ล้านบาท แม้
ว่าจะได้รับเงินจากการก่อหนี้เพิ่มจากทีแอลพีโคเจนจำนวน 1,699 ล้านบาท โรงไฟฟ้าร้อยเอ็ดกรีน จำนวน 204ล้านบาท และ จีอีซี จำนวน 1,100 ล้านบาท
และการเรียกเงินเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของทีแอลพีโคเจน และ โรงไฟฟ้าร้อย
เอ็ดกรีน จำนวน 98 ล้านบาท
โดยสรุป บผฟ. มีนโยบายในการบริหารเงินทุนโดยคำนึงถึงมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัททั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งหมายถึงประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ
จึงวางแผนการลงทุนอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งพัฒนาโครงการที่มีอยู่ให้เสร็จสมบูรณ์ และการรักษากระแสเงินสดให้เพียงพอต่อการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำ
เสมอควบคู่กับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่มีคุณภาพเท่านั้น