27 กุมภาพันธ์ 2547
คำอธิบายงบการเงินประจำปี
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำปี 2546
สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2546
หมายเหตุ:บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของ
ฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อัน
เป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะการเงิน
และผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจ
เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้
และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-2 หรือ email : ir@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ (บผฟ.) เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) แห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้น
ในปี 2535 มีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นบริษัทชั้นนำ ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมทั้งธุรกิจการให้บริการด้าน
พลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประโยชน์ทางสังคมเป็นสำคัญ
บริษัทมีนโยบายมุ่งเน้นที่จะครองสัดส่วนการตลาดของกำลังการผลิตใหม่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จากการ
พัฒนาหรือซื้อโครงการ IPP อันจะนำมาซึ่งผลกำไรด้วยต้นทุนที่ประหยัดต่อขนาดและอยู่ในขอบข่ายความเสี่ยงและกำไร
จากโครงการอันเหมาะสม นอกจากนั้น บผฟ. ได้ทำการวิเคราะห์ บริหารสินทรัพย์ และแสวงหาโอกาสพัฒนาโครงการ
ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) เพื่อเพิ่มศักยภาพของโครงการเหล่านั้น บริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ
ธุรกิจหลักของ บผฟ. หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ในราคาอันเหมาะสมภายใต้นโยบายการลงทุนของบริษัท
สำหรับแผนโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงพลังงานซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่ม
ศักยภาพระบบไฟฟ้าของประเทศนั้น ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม 2546 แผนโครงสร้างฉบับใหม่
จะใช้รูปแบบ Enhanced Single-Buyer (ESB) โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะยังคงมีบทบาท
ในการเป็นผู้ผลิตและส่งกระแสไฟ กระทรวงพลังงานจะจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล (Electricity Regulatory
Commission-ERC) เพื่อทำหน้าที่พยากรณ์ความต้องการและกำลังผลิตกระแสไฟฟ้า กำหนดแนวทางและตรวจสอบการลงทุน
ในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ช่วยรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า รวมทั้งกำกับอัตราค่าไฟฟ้าที่ดีที่สุด ดังนั้น บริษัทมั่นใจว่า
หน่วยงานกำกับดูแลจะช่วยรักษาการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรมในกลุ่มผู้ผลิตกระแสไฟฟ้า สำหรับการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า
ในอนาคต
ในปี 2546 ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 เมื่อเทียบจากความต้องการใช้ไฟฟ้า
สูงสุดของปีก่อน โดยมีค่าสูงกว่าค่าพยากรณ์ที่ได้จัดทำไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ปี 2546 ของ กฟผ. ซึ่งได้คาดการณ์
เอาไว้เพียงร้อยละ 6.9 คาดว่าสำหรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ปี 2546 (ฉบับปรับปรุง) จะมีการพยากรณ์กำลังผลิตไฟฟ้า
สำรองต่ำสุดลดลงจากแผนเดิม ความต้องการใช้ไฟฟ้าระยะยาวและความต้องการกำลังผลิตไฟฟ้าจนถึงปี 2558 เพิ่มขึ้น
จากแผนโครงสร้างกิจการไฟฟ้าฉบับใหม่ ประกอบกับการคาดการณ์ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นของประเทศไทย
จะเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ รวมทั้ง บผฟ. ในการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคตซึ่ง บผฟ. เชื่อว่าด้วย
ศักยภาพและประสบการณ์ของบริษัทในธุรกิจผลิตไฟฟ้ากว่า 11 ปี จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสัดส่วนการตลาดของกำลังผลิตใหม่
ในรูปแบบ ESB ซึ่งเน้นการแข่งขันเป็นหลัก
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า 12 โรง อยู่ที่ 2,426 เมกะวัตต์
โดยร้อยละ 84.7 ของกำลังการผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) กำลังการผลิต 1,232
เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) กำลังการผลิต 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าว
ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกเหนือจากโครงการที่มีอยู่ บริษัทจะสามารถเพิ่มกำลังผลิตจากโครงการหลักซึ่งกำลังอยู่
ระหว่างการพัฒนาอีก 3 โครงการ มีกำลังผลิตในส่วนของ บผฟ. รวม 1,003 เมกะวัตต์ ได้แก่
1) โครงการปรับปรุงและขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าขนอม (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 100) กำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ
385 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งมีกำหนดการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนมกราคม 2550
เพื่อรองรับการขาดแคลนไฟฟ้าในภาคใต้ ปัจจุบัน บผฟ. อยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) กับ กฟผ.
คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2547
2) โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50) ที่จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น
เชื้อเพลิงหลัก แต่เดิมใช้ชื่อเรียกว่า "โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก" เมื่อเดือนธันวาคม 2546 บริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน)
(จีอีซี) ซึ่งถือหุ้นโดย บผฟ. ร้อยละ 50 ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัทกัลฟ์ พาวเวอร์ เจนเนอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (จีพีจี) ซึ่งดำเนิน
โครงการโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 จากเดิมที่ร้อยละ 60 เป็นร้อยละ 100 ส่งผลให้ บผฟ. มีสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2
เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 50 โครงการนี้มีกำหนดการจ่ายกระแสไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 แต่เนื่องจากการขาดแคลนไฟฟ้าในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นโครงการนี้อาจจะเลื่อนจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เร็วขึ้นจากกำหนดการเดิม
3) โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ มีกำลังการผลิต 1,070 เมกะวัตต์ โครงการจะ
สามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์
ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ
หลังหักภาษีเงินได้ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่นโอกาสการขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจ
ภาวะทางการเงิน และหากการจ่ายเงินปันผลนั้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ
2. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
บผฟ. เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุม
ถึงธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน โดยมีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้
เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความ
สามารถหรือยกระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย และเพื่อให้การระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่
เป็นไปโดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี 2 นโยบายคือ
* นโยบายการบัญชีเกี่ยวกับวัสดุสำรองคลังหลัก เพื่อให้มีแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย
โดยใช้หลักการบัญชีแบบเปลี่ยนแทน กล่าวคือวัสดุสำรองหลักที่มีอายุการใช้งานเกินกว่า 1 ปี จะถูกบันทึกเป็นต้นทุน
ของสินทรัพย์และตัดค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรงตลอดอายุการใช้งานโดยประมาณของวัสดุสำรองหลักดังกล่าวเมื่อมีการ
เบิกใช้เพื่อการซ่อมบำรุงรักษา ซึ่งเดิมจะบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทันทีที่มีการเบิกใช้งาน
* นโยบายบัญชีเรื่องค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ โดยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 51 เรื่องสินทรัพย์ไม่มีตัวตน
เดิมบริษัทบันทึกสินทรัพย์ไม่มีตัวตนบางรายการเป็นสินทรัพย์ในงบดุล เนื่องจากมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 51 กำหนดแนวทาง
ในการรับรู้สินทรัพย์ไม่มีตัวตนในงบการเงินไว้ชัดเจน การบันทึกบัญชีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการตามนโยบายดังกล่าว
ถือเป็นการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานให้เหมาะสม โดยรายการส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการโรง
ไฟฟ้าน้ำเทิน 2 และโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก
ทั้งนี้ บผฟ. ได้เริ่มใช้นโยบายใหม่สำหรับงบการเงินปี 2546 เป็นต้นไป และไม่ได้ปรับปรุงรายการดังกล่าวย้อนหลังเนื่องจาก
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนโยบายไม่มีนัยสำคัญต่องบการเงิน โดยได้ปรับปรุงค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงบการเงินปี 2546
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
หน่วย : ล้านบาท
ค่าพัฒนาโครงการ วัสดุสำรองคลังหลัก ผลกระทบสุทธิ
น้ำเทิน 2 บ่อนอก บฟร. บฟข. จีอีซี
ก่อนปี 2546 (506) (273) 529 444 19 213
ปี 2546 (74) (45) 240 (47) 35 109
ยอดรวมสุทธิ (580) (318) 769 397 54 322
ฝ่ายบริหารขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน
ดังต่อไปนี้
.1 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิ ของกลุ่ม บผฟ. ในปี 2546 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,035 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 103 เมื่อเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานปี 2545
หน่วย : ล้านบาท
กำไรสุทธิ ประจำปี 2546 กำไรสุทธิ ประจำปี 2545
ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX
บผฟ. (50) (50) (692) (692)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 5,350 5,805 3,187 3,347
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 296 579 158 199
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) (416) (447) 44 18
กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Others) 108 108 88 88
หมายเหตุ: - IPP ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - SPP ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบี ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ดกรีน
- Overseas ประกอบด้วย โคแนล น้ำเทิน 2 - Others ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา
ในปี 2546 บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 707 ล้านบาท ในขณะที่ในช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว บผฟ. มีกำไรจาก
อัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 174 ล้านบาท
ทั้งนี้กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่าง
ของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน
(วันที่ 31 ธันวาคม 2546) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2545)หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว
บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 5,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2,502 ล้านบาท หรือร้อยละ 90
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้
- อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 61
- อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 34
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 10.07 บาท
อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 34 สูงกว่าปี 2545 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 23
โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากกว่าค่าใช้จ่าย กล่าวคือ รายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 สาเหตุหลักจาก
รายได้ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12
2.2 การวิเคราะห์รายได้
ผลการดำเนินงาน ในปี 2546 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไรในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสีย
ในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 15,731 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 เพิ่มขึ้นจำนวน
3,671 ล้านบาท หรือร้อยละ 30 โดยมีรายละเอียดดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
รายได้รวม: ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
บผฟ. 548 286 92%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 9,972 9,276 8%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 4,443 1,243 258%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 334 880 (62%)
กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Others) 434 375 16%
1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 262 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ส่วนใหญ่จาก
เงินปันผลรับจากกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (KTSF)
2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 9,972 ล้านบาท แบ่งเป็น
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 9,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 779 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 โดยแบ่งเป็นการ
เพิ่มขึ้นจาก บฟร. 1,341 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟข. ลดลง 562 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนด
ไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขาย
ไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าใช้จ่ายเงินกู้ และค่าบำรุงรักษาหลัก
ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย:ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
บฟร.5,947 4,605 29%
บฟข.3,796 4,358 (13%)
นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตรา
แลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร
. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราแลกเปลี่ยน
สูงกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่ง
ดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากการชดเชยจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นเงิน
1,012 ล้านบาท
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 230 ล้านบาท ลดลง 84 ล้านบาท หรือร้อยละ 27 สาเหตุหลักคือ ผลตอบแทน
จากการลงทุนของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 69 ล้านบาทเนื่องจากเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยลดลง
3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 4,443 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 3,200 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 258 สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน)
(จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบี) บริษัท ทีแอลพี
โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ดกรีน จำกัด (ร้อยเอ็ดกรีน) โดยมีรายละเอียดดังนี้
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 4,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3,137 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 266
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี 2,622 937 180%
ทีแอลพีโคเจน 1,335 - n/a
เอพีบี 277 244 13%
ร้อยเอ็ดกรีน 84 - n/a
ซึ่งส่วนแบ่งรายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้ของ จีอีซี อันเนื่องมาจาก บริษัท หนองแค โคเจนเนอเรชั่น จำกัด
(เอ็นเคซีซี) และ บริษัท สมุทรปราการ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอสซีซี) ได้เริ่มรับรู้รายได้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545
อีกทั้ง ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน ก็เริ่มรับรู้รายได้เป็นปีแรกหลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม และ
พฤษภาคม 2546 ตามลำดับ และ เอพีบี มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไฟให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56 ล้านบาท ส่วนใหญ่เพิ่มจาก จีอีซี จำนวน 55 ล้านบาท
* ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า จำนวน 58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ซึ่งมาจาก เออีพี
4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 334 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 546 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 62 สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น(โคแนล) และโครงการ
น้ำเทิน 2 (Nam Theun 2 Electricity Consortium หรือ เอ็นทีอีซี) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
* รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 892 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 66 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7 ซึ่งเกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2546
ต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากการโอนโรงไฟฟ้านอร์ธเทิร์นมินดาเนา เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) จำนวน 58 เมกะวัตต์
ออกไปให้กับ เนชั่นแนล เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นพีซี) เมื่อเดือนกรกฎาคม 2546
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 45 ล้านบาท ลดลง 3 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 6
* ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ในปี 2546 เท่ากับ 603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 477 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 380
เมื่อเทียบกับปี 2545 เนื่องจากมีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ตามนโยบายบัญชีใหม่ดังที่กล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ในปี 2545 มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 เป็นจำนวน 126 ล้านบาท
5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 434 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 59 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 16
สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ
บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ หน่วย:ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
รายได้ค่าบริการ-เอสโก 283 237 19%
รายได้ค่าน้ำ-เอ็กคอมธารา 142 123 16%
* รายได้ค่าบริการ จำนวน 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 46 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 19
เนื่องจากเป็นการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่องของ เอสโก กับบริษัทนอกเครือ บผฟ
* รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 142 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 19 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 16 เนื่องจากอัตราค่าน้ำและปริมาณการจำหน่ายที่สูงขึ้น
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 9 ล้านบาท ลดลง 3 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 27 ส่วนใหญ่จาก
เอสโก เนื่องจากเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยลดลง
* ส่วนแบ่งขาดทุนจากกิจการร่วมค้า จำนวน 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท หรือร้อยละ 129 ซึ่งมาจาก บริษัท พลังงานการเกษตร
จำกัด
2.3 การวิเคราะห์รายจ่าย
ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า ในปี 2546 จำนวน 10,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,102
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 แบ่งตามกลุ่มธุรกิจดังต่อไปนี้
ค่าใช้จ่ายรวม: หน่วย : ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
บผฟ. 599 978 (39%)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 4,622 6,089 (24%)
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 4,093 1,093 275%
กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 520 603 (14%)
กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Others) 306 276 11%
1) ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. จำนวน 599 ล้านบาท คือค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป 413 ล้านบาท ตัดจ่ายค่านิยมของเงินลงทุน
ในโครงการบ่อนอก 66 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่าย 120 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนรวมทั้งสิ้น 379 ล้านบาท สำหรับการ
ตัดจ่ายค่านิยมของเงินลงทุนในโครงการบ่อนอก ในปี 2546 เท่ากับ 66 ล้านบาท ขณะที่ปี 2545 มีการตัดจำหน่ายการด้อยค่า
โครงการบ่อนอกจำนวน 342 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไปนั้นลดลง 23 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 ดอกเบี้ยจ่าย
ลดลง 80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ บผฟ. ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545
ซึ่งเกิดจากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยจากอัตราลอยตัวเป็นอัตราคงที่ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 และจากอัตราคงที่เป็นอัตรา
ลอยตัว เมื่อเดือนมกราคม 2546 อีกทั้งจำนวนเงินต้นลดลง
2) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จำนวน 4,622 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน
1,467 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 2,218 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,279 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 37 สาเหตุหลัก
มาจาก บฟข. มีต้นทุนลดลงจำนวน 777 ล้านบาท และ บฟร. มีต้นทุนลดลงทั้งสิ้น 501 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีในปี 2546
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย:ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
บฟร.1,312 1,813 (28%)
บฟข. 907 1,684 (46%)
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 112 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 49 สาเหตุหลัก
จากภาษีของ บฟร. จำนวน 133 ล้านบาท ซึ่งระยะเวลาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบการ
ที่ได้รับการส่งเสริม กำหนด 8 ปีนับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ สิ้นสุดลง ณ วันที่ 19 เมษายน 2546 ทั้งนี้ตั้งแต่
วันที่ 20 เมษายน 2546 บฟร. จะได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุน ในอัตราร้อยละ 50
ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 2,064 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 300 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 มาจาก บฟร. และ บฟข.
จำนวน 166 และ 135 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากเงินต้นลดลง
3) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 4,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 3,001 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 275 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 3,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2,432 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 269 สาเหตุหลัก
เนื่องจากต้นทุนขายของ จีอีซี เพิ่มขึ้น 1,294 ล้านบาท (ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจาก เอ็นเคซีซี และ เอสซีซี ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าไฟฟ้า
จากทั้ง 2 บริษัทที่เพิ่มขึ้น) นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ดกรีน และ เอพีบี เพิ่มขึ้น 1,056 ล้านบาท
59 ล้านบาท และ 23 ล้านบาท ตามลำดับ
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท
ปี 2546 ปี 2545 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี 2,022 728 178%
ทีแอลพีโคเจน 1,056 - n/a
เอพีบี 199 175 13%
ร้อยเอ็ดกรีน 59 - n/a
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนทั้งสิ้น 325 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 378 สาเหตุหลัก
มาจากการตัดจ่ายค่าพัฒนาโครงการบ่อนอก จำนวน 147 ล้านบาท การตัดจำหน่ายการด้อยค่าที่ดินโครงการบ่อนอกจำนวน 104
ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจาก เอ็นเคซีซี และ เอสซีซี 65 ล้านบาท
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 348 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 244 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 237 สาเหตุหลักมาจาก
การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี จำนวน 147 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนในโครงการ เอ็นเคซีซี และเอสซีซี สำหรับ
ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน ดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 94 ล้านบาท และ 7 ล้านบาทตามลำดับเนื่องจากมีการเบิกเงินกู้เพิ่มขึ้น
ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายของ เอพีบี ลดลง 4 ล้านบาท เนื่องจากเงินต้นลดลง
4) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 520 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 83 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 14 รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนขาย จำนวน 236 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 93 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 28 เกิดจากค่าเสื่อมราคา
ของโรงไฟฟ้า เอ็นเอ็มพีซี ที่ลดลงอันเนื่องมาจากประมาณการการผลิตที่ลดลงและโอนโรงไฟฟ้าจำนวน 58 เมกะวัตต์ ให้กับเอ็นพีซี
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 42 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 27
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 84 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 32 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 27 เนื่องจากเงินต้นลดลง
5) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 306 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 30 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11
รายละเอียดดังต่อไปนี้
* ต้นทุนบริการ จำนวน 171 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือร้อยละ 20 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษา
และเดินเครื่องของ เอสโก กับบริษัทนอกเครือ บผฟ. ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
* ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 มาจาก
เอ็กคอมธารา ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 8 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15
สาเหตุหลักมาจากเอสโกซึ่งจ่ายภาษีเงินได้จำนวน 26 ล้านบาท ในขณะที่ เอ็กคอมธาราลดลง 2 ล้านบาท หรือร้อยละ 13
* ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 16 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 8 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 34 เนื่องจากเงินต้นคงเหลือ
และอัตราดอกเบี้ยของ เอ็กคอมธารา ลดลง
3. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
3.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 56,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
613 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2545 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
จำนวน 7,815 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 2,314 ล้านบาท หรือร้อยละ 42 ส่วนใหญ่
มาจากการดำเนินงาน โดยแบ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน จำนวน 1,373 ล้านบาท เงินลงทุนระยะยาว
ในหลักทรัพย์ในความต้องการตลาดและอื่นๆเพิ่มขึ้นจำนวน 1,083 ล้านบาท หลักทรัพย์ในความต้องการตลาดระยะสั้นเพิ่มขึ้นจำนวน
402 ล้านบาท ในขณะที่เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง 544 ล้านบาท
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 9,954 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18 ของสินทรัพย์รวม
ลดลง 458 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 ส่วนใหญ่เกิดจากการชำระหนี้เงินกู้ของ บฟร. และ บฟข. โดยเงินสำรองบางส่วนเป็นเงินสกุล
ดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 369 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.66 ของ
สินทรัพย์รวม ลดลง 453 ล้านบาท หรือร้อยละ 55 สาเหตุหลักมาจากโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งเป็นการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการ
ตัดจ่ายค่าพัฒนาโครงการตามนโยบายบัญชีใหม่ดังที่กล่าวข้างต้นจำนวน 603 ล้านบาท และมีเงินลงทุนเพิ่มเติมในโครงการน้ำเทิน 2
ในปี 2546 จำนวน 91 ล้านบาท สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าอื่นๆที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ
เออีพี เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 58 ล้านบาทจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรปี 2546
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 31,543 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 491 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 2 สาเหตุหลักจากการตัดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 2,960 ล้านบาท การตัดจำหน่ายและ
การโอนสินทรัพย์ จำนวน 144 ล้านบาท และผลต่างจากการแปลงค่างบการเงินของทรัพย์สินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ จำนวน
180 ล้านบาท ในขณะที่ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการปรับปรุงนโยบายวัสดุสำรองคลังหลัก จำนวน 1,804 ล้านบาท
และ 990 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากที่ดินที่ซื้อเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 132 ล้านบาท (แบ่งเป็นของจีอีซี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน
จำนวน 107 ล้านบาท 19 ล้านบาทและ 5 ล้านบาท ตามลำดับ) และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
และ จีอีซี จำนวน 376 ล้านบาท 174 ล้านบาท และ 183 ล้านบาท ตามลำดับ และค่าก่อสร้างโรงงานของ เอสโก จำนวน 47
ล้านบาท และอื่น ๆ 77 ล้านบาท
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 6,755 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 300 ล้านบาท หรือร้อยละ 4
ส่วนใหญ่เป็นผลจากลูกหนี้การค้าที่เกี่ยวข้องกัน (ส่วนใหญ่คือ กฟผ.) ลดลง จำนวน 366 ล้านบาท และ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆลดลง
จำนวน 100 ล้านบาท
3.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 29,736 ล้านบาท ลดลง 5,141 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 เนื่องจาก
การชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ของ บผฟ. บฟร. และ บฟข.
ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่
1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 27,913 ล้านบาท หรือร้อยละ 94 ของหนี้สินรวม ซึ่งลดลง 5,008 ล้านบาท
หรือร้อยละ 15 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 388 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 1,028 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 106 ล้านเปโซ
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 4,115 ล้านบาท
- หุ้นกู้ จำนวน 8,005 ล้านบาท
ในปี 2546 เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ บาท เปโซ รวมทั้งหุ้นกู้ลดลงรวม 5,132 ล้านบาท จากการชำระคืนเงินต้นของ บผฟ.
บฟร. บฟข. โคแนล เอ็กคอมธารา เอพีบี การรีไฟแนนซ์เงินกู้ ของ จีอีซี ในขณะที่มีเงินกู้สกุลเยนเพิ่มขึ้น 150 ล้านบาท
จากการสร้างโรงไฟฟ้าร้อยเอ็ด กรีน
2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 1,823 ล้านบาทหรือร้อยละ 6 ของหนี้สินรวม ส่วนใหญ่ ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น 320
ล้านบาทเจ้าหนี้การค้า 617 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 161 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มค้างจ่าย 154 ล้านบาท และ อื่นๆ 571
ล้านบาท บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรองเพื่อภาระ
ผูกพันในการชำระหนี้ไว้ในอัตราร้อยละ 25 ของภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อลดความเสี่ยง
และสามารถนำเงินที่สำรองนี้มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระ
ผูกพันดังกล่าวณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ
บผฟ. ดังกล่าวเป็นจำนวน 500 ล้านบาท และมีส่วนที่ต้องสำรองเพิ่มอีกซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน 83 ล้านบาท
3.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว เป็นเงินจำนวน 26,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน
5,753 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31
ธันวาคม 2546 สรุปได้ดังนี้
ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 26,701 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47
หนี้สิน จำนวน 29,736 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.11 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.66 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 49.21 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2545 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 38.51 บาท
4. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี
และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็น
เงินจำนวน 1,731 ล้านบาท ลดลงจากต้นงวด 544 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 7,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 จำนวน 1,115 ล้านบาท
ส่วนใหญ่มาจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 1,742 ล้านบาท ในขณะที่กระแสเงินสดจากเงินทุนหมุนเวียนลดลง 627 ล้านบาท
(ยังมีต่อ)