EN | TH
17 พฤษภาคม 2547

ำอธิบายงบการเงินไตรมาสที่ 1

* ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 มาจาก เอ็กคอม ธารา ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 11 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 92 สาเหตุหลักจาก เอสโก ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการจ่ายภาษีเงินได้จำนวน 9 ล้านบาท * ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 43 เนื่องจากเงินต้นคงเหลือ และอัตราดอกเบี้ยของ เอ็กคอมธารา ลดลง 3. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 3.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม จำนวน 57,758 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,321 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2546 โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากธนาคารและสถาบันการเงิน และเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 7,080 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 735 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 ส่วนใหญ่มาจาก เงินฝาก ธนาคารและสถาบันการเงินและหลักทรัพย์ในความต้องการตลาดระยะสั้นลดลงจำนวน 1,468 ล้านบาท และเงินลงทุนระยะยาวใน หลักทรัพย์ในความต้องการตลาดและอื่นๆลดลง จำนวน 408 ล้านบาท ในขณะที่เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพิ่มขึ้น 1,142 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 11,763 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 1,809 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 โดยเงินสำรองบางส่วนเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 359 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของสินทรัพย์ รวม ลดลง 11 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 สาเหตุหลักมาจากโครงการน้ำเทิน 2 รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากการตัดจ่ายค่าพัฒนาโครงการ ตามนโยบายบัญชีใหม่จำนวน 9 ล้านบาท 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สุทธิ จำนวน 31,034 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 54 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 510 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 สาเหตุหลักจากการตัดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 616 ล้านบาท และผลต่างจากการ แปลงค่างบการเงินของทรัพย์สินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ จำนวน 24 ล้านบาท ในขณะที่ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจาก วัสดุสำรองคลังหลักของ บฟร. และ บฟข. จำนวน 60 ล้านบาท และ 45 ล้านบาทตามลำดับ อีกทั้งยังมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพิ่มเติมของ จีอีซี จำนวน 41 ล้านบาท 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 7,522 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 767 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 ส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินให้กู้ยืมระยะยาวของ บผฟ. แก่ จีอีซี จำนวน 338 ล้านบาท โครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 238 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น จำนวน 67 ล้านบาท และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นเพิ่มขึ้น 197 ล้านบาท ในขณะที่วัสดุ สำรองคลังลดลง 46 ล้านบาทและลูกหนี้กิจการที่เกี่ยวข้องกันลดลง จำนวน 28 ล้านบาท 3.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 30,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 373 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 ส่วนใหญ่เกิดจากดอกเบี้ย ค้างชำระของ บผฟ. บฟร. และ บฟข. ส่วนประกอบของหนี้สินรวม ได้แก่ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 27,658 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ของหนี้สินรวม ซึ่งลดลง 254 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 385 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 1,212 ล้านเยน - เงินกู้สกุลเปโซ จำนวน 105 ล้านเปโซ - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 3,735 ล้านบาท - หุ้นกู้ จำนวน 8,005 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2547 มีการชำระคืนเงินกู้ของ ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ด กรีน และ เอพีบีพี และการรีไฟแนนซ์เงินกู้ของ จีอีซีเป็นเงิน สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ บาท และเปโซ จำนวน 424 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกเงินกู้เพิ่มขึ้นจำนวน 228 ล้านบาท ของ ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ด กรีน และจีอีซี 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,450 ล้านบาทหรือร้อยละ 8 ของหนี้สินรวม ส่วนใหญ่ ได้แก่ เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น 343 ล้านบาท เจ้าหนี้การค้า 783 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 613 ล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ค้างจ่าย 301 ล้านบาท และ อื่นๆ 410 ล้านบาท บผฟ. มีการบริหารภาระผูกพันหนี้สินให้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดย บผฟ. ได้ตั้งบัญชีสำรองเพื่อภาระผูกพันในการ ชำระหนี้ไว้ในอัตราร้อยละ 25 ของภาระค้ำประกันของ บผฟ. ที่มีอยู่กับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม เพื่อลดความเสี่ยงและสามารถนำเงินที่ สำรองนี้มาบริหารให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปดอกเบี้ยควบคู่กับความมั่นคงในการรับภาระค้ำประกันหรือภาระผูกพันดังกล่าว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 บผฟ. ได้ฝากเงินเพื่อเป็นเงินสำรองไว้จำนวนร้อยละ 25 ตามภาระค้ำประกันของ บผฟ. ดังกล่าว เป็นจำนวน 206 ล้านบาท 3.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งไม่รวมหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว เป็นเงินจำนวน 27,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 948 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยหลักคือ บผฟ. มีกำไรจากผลการดำเนินงาน ในขณะที่กำไรที่ยังไม่รับรู้จากการปรับมูลค่าการลงทุนในหลักทรัพย์ ในความต้องการของตลาดที่มีไว้เผื่อขายลดลงทั้งสิ้น 605 ล้านบาท จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 สรุปได้ดังนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 27,649 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 48 หนี้สิน จำนวน 30,108 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้ - อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 1.09 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.11 เท่า - มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 50.90 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 49.21 บาท 4. รายงานและวิเคราะห์กระแสเงินสด งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และ แสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2547 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ เป็นเงินจำนวน 2,872 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากต้นงวด 1,142 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้ - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 558 ล้านบาท ลดลงจากปี 2546 จำนวน 398 ล้านบาท ส่วนใหญ่ มาจากเงินสดที่ได้จากดำเนินงานที่ลดลง 1,147 ล้านบาท ในขณะที่กระแสเงินสดจากเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 749 ล้านบาท - เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมลงทุน จำนวน 755 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดที่ได้มาจากการลงทุนทางการเงินระยะสั้นจำนวน 1,461 ล้านบาท และได้รับเงินปันผลจากบริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก และ กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล จำนวน 40 ล้านบาท และ 227 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่ บผฟ. ให้กู้ยืมแก่ จีอีซี และโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 338 ล้านบาท และ 238 ล้านบาท ตามลำดับ - เงินสดสุทธิที่ใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 173 ล้านบาท เนื่องจากสาเหตุหลักคือ การชำระคืนเงินกู้ของทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ดกรีน เอพีบีพี และจีอีซี จำนวน 424 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกเงินกู้เพิ่มของ ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ด กรีน และจีอีซี จำนวน 228 ล้านบาท