EN | TH
28 กุมภาพันธ์ 2548

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ปี 2547

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำปี 2547 สิ้นสุด ณ 31 ธันวาคม 2547 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อ นำเสนอข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความ เข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการ การกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและ คำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่ นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-2 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (บผฟ.) เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer "IPP") แห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง บผฟ. มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ มุ่งเน้นที่จะเป็นบริษัท ชั้นนำของคนไทย ที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้บริการด้าน พลังงานทั้งประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและ ประโยชน์ทางสังคมเป็นสำคัญ บผฟ. มีแผนการเพิ่มสัดส่วนของส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจผลิตไฟฟ้า จากการพัฒนา หรือซื้อโครงการจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ และคำนึงถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ทางธุรกิจ ด้วยต้นทุนที่ประหยัดต่อขนาด ผลตอบแทนการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ ได้ของโครงการ นอกจากนั้น ยังมุ่งเน้นในการนำมาซึ่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการเพิ่มผลกำไรจากการบริหารที่มีประสิทธิภาพแล้ว บผฟ. ยังตระหนักถึง หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ตลอดมา ณ ปลายเดือนธันวาคม 2547 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,056 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งประมาณร้อยละ 9.1 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดย ในปี 2547 นี้ ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมที่ 19,326 เมกะวัตต์ /2 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 6.65 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้น เมื่อเดือนพฤษภาคมของปี 2546 ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ซึ่งจัดทำ โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ Power Development Plan "PDP 2004" นั้น ประเทศไทยจะต้องการโรงไฟฟ้าใหม่ในช่วงปี 2554-2558 จำนวน 18 โรงไฟฟ้า รวมกับไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของโรงไฟฟ้าใหม่ (คิดเป็นกำลังผลิตรวมประมาณ 13,230 เมกะวัตต์ /2) ดังนั้น บริษัทคาดการณ์ไว้ว่า จะมีการเริ่มเปิดประมูลเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เหล่านั้นในเร็ววัน ทั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดี ให้ บผฟ. สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดของกำลังผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นนี้ด้วย /1 ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) /2 ที่มา: แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2547-2558 (Power Development Producer "PDP 2004") จัดทำโดย กฟผ. ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 12 โรง โดยร้อยละ 85 ของกำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่นั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 3 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการ ผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,012 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท กัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) ซึ่งถือหุ้นในบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) ร้อยละ 100) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงหลัก เดิมมีกำลังผลิต 700 เมกะวัตต์ และเดิมใช้ชื่อว่า "โครงการโรงไฟฟ้า บ่อนอก" ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2547 จีพีจี ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการแก่งคอย 2 ได้ลงนาม ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement "PPA") กับ กฟผ. ภายใต้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 25 ปี และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิต หน่วยละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในบริษัท Nam Theun 2 Power Co.,Ltd) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ ได้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือนพฤศจิกายน 2546 และมีกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ ปัจจุบันโครงการกำลังจัดหาเงินกู้จากธนาคารไทย ธนาคาร ต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ โดยโครงการอยู่ระหว่างการรอการตัดสินใจของ ธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่จะให้ความ ช่วยเหลือทางการเงินในรูปแบบต่างๆ ซึ่งรวมถึงการค้ำประกันความเสี่ยงทางการเมือง อันจะทำให้การจัดหาเงินกู้ของโครงการสามารถเสร็จสิ้นได้ภายในครึ่งแรกของปี 2548 3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 47.5) ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมี กำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2548 แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 ทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการอยู่ระหว่างการเจรจาเลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่นโอกาสการขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะ ทางการเงิน และหากการจ่ายเงินปันผลนั้นจะมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัท อย่างมีสาระสำคัญ 2. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน บผฟ. เป็นบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) ที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้การบริการด้านพลังงาน โดยมีรายได้หลัก คือ เงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัด โครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความ สามารถหรือยกระดับคุณภาพการบริหารในแต่ละโครงการของบริษัทย่อย และเพื่อให้การ ระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่เป็นไปโดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ในปี 2546 กลุ่มบริษัทได้เริ่มนำมาตรฐานการบัญชีไทยฉบับที่ 51 เรื่องสินทรัพย์ไม่มี ตัวตนมาใช้ปฏิบัติเป็นครั้งแรกและได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี 2 นโยบาย ได้แก่ นโยบายเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษาหลักและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ และ ไม่ได้ปรับปรุงรายการที่เกิดขึ้นก่อนปี 2546 ย้อนหลังเนื่องจากผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีไม่มีนัยสำคัญต่องบการเงิน โดยได้ปรับปรุงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ เกิดขึ้นก่อนปี 2546 ในงบการเงินปี 2546 เพื่อให้เข้าใจถึงการเปรียบเทียบงบการเงินปี 2547 กับงบการเงินปี 2546 จึงได้แสดงผลกระทบต่องบดุลรวมและงบดุลเฉพาะบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 และงบกำไรขาดทุนรวมและงบกำไรขาดทุนเฉพาะบริษัทประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ดังต่อไปนี้ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท พันบาท พันบาท งบดุล เงินลงทุนในบริษัทย่อย เพิ่มขึ้น - 992,110 ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า สุทธิ ลดลง (505,892) (778,879) วัสดุสำรองคลัง สุทธิ เพิ่มขึ้น 5,664 - ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ สุทธิ เพิ่มขึ้น 986,446 - สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น สุทธิ ลดลง (272,987) - กำไรสะสมปลายงวด ณ วันที่ 31ธันวาคม พ.ศ.2546 เพิ่มขึ้น 213,231 213,231 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 งบการเงินรวม งบการเงินเฉพาะบริษัท พันบาท พันบาท งบกำไรขาดทุน ต้นทุนขาย ลดลง 992,110 - ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้น (102,505) - ผลขาดทุนจากการด้อยค่า เพิ่มขึ้น (170,482) (66,133) ส่วนแบ่งผลกำไรในบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้า เพิ่มขึ้น (ลดลง) (505,892) 279,364 กำไรสะสมปลายงวด ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เพิ่มขึ้น 213,231 213,231 ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 2.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. ในปี 2547 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 4,662 ล้านบาท ลดลง 1,332 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 เมื่อ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงาน ปี 2546 หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิประจำปี 2547 กำไรสุทธิประจำปี 2546 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 134 119 (51) (51) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 4,055 4,119 5,350 5,805 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 282 303 296 579 กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 11 4 (416) (447) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 112 116 108 108 หมายเหตุ: - IPP ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - SPP ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพีโคเจน ร้อยเอ็ดกรีน - Overseas ประกอบด้วย โคแนล น้ำเทิน 2 - Others ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ในปี 2547 บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 67 ล้านบาท เมื่อ เปรียบเทียบกับปี 2546 ซึ่ง บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 707 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจำนวน 72 ล้านบาทเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทยซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่า หนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 ธันวาคม 2547) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2546) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในปี 2547 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,595 ล้านบาท ลดลงจากปี 2546 จำนวน 692 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 67 ล้านบาท ภาษี เงินได้จำนวน 597 ล้านบาท กำไรของกลุ่ม บผฟ. ปี 2547 จะเป็นจำนวน 5,191 ล้านบาท ลดลง 99 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ปี 2546 จำนวน 5,290 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี ใหม่จำนวน 213 ล้านบาท ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 707 ล้านบาท และภาษีเงินได้ จำนวน 217 ล้านบาท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 51 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 28 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 8.75 บาท อัตรากำไรสุทธิในปี 2547 (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 28 นั้นต่ำกว่า ปี 2546 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 34 มีสาเหตุมาจากกำไรสุทธิของ บฟร. และ จีอีซี ที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีในปี 2546 ทั้งนี้หากไม่รวมผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี อัตรากำไรสุทธิ ปี 2546 จะเท่ากับร้อยละ 32 2.2 การวิเคราะห์รายได้ ผลการดำเนินงานในปี 2547 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไร ในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 16,500 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ ปี 2546 เพิ่มขึ้นจำนวน 769 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 โดยมี รายละเอียดดังนี้ รายได้รวม: หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 587 548 7% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 9,846 9,972 (1%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 4,778 4,443 8% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 730 334 119% กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 559 434 29% 1) รายได้ของ บผฟ. จำนวน 587 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 39 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับจำนวน 43 ล้านบาท ในขณะที่เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลง 5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2546 ทั้งนี้รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ยังคงมาจากเงินปันผลรับจากกองทุนเปิด กรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (KTSF) จำนวน 428 ล้านบาท ลดลง 7 ล้านบาท เงินปันผลรับจากหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด จำนวน 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 ล้านบาทนั้น เนื่องจากในปี 2547 มีการให้เงินกู้ยืมแก่ จีอีซี และ โครงการน้ำเทิน 2 จึงมีรายได้ดอกเบี้ยรับ จำนวน 20 ล้านบาท จาก จีอีซี และ จำนวน 20 ล้านบาท จากโครงการน้ำเทิน 2 สำหรับดอกเบี้ยรับจากธนาคารและอื่นๆ มีจำนวน 44 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ จำนวน 27 ล้านบาท 2) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) คือ บฟร. และ บฟข. จำนวน 9,846 ล้านบาท แบ่งเป็น - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 9,672 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 70 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 โดยแบ่งเป็นการลดลงจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟร. 498 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่ลดลง ในขณะที่ บฟข. มีรายได้ค่าไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 428 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ Cost Plus หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหลัก คือ ค่าใช้จ่ายเงินกู้ และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) : หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 5,448 5,947 (8%) บฟข. 4,224 3,796 11% นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อ ชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินที่เป็นสกุล ดอลลาร์สหรัฐฯ และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลัก ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับ การชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อ อัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้า จากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 1,007 ล้านบาท - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 174 ล้านบาท ลดลง 56 ล้านบาท หรือร้อยละ 24 สาเหตุหลักคือ ผลตอบแทนจากการลงทุนของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 41 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินฝากที่ลดลง และรายได้อื่นๆของ บฟร. ลดลง 16 ล้านบาท เนื่องจากในปี 2546 บฟร.ได้รับเงินค่าปรับจากคู่ค้าเนื่องจากการจัดส่งล่าช้า 3) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 4,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 335 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 สำหรับกลุ่ม ธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ กลุ่มบริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ดกรีน จำกัด (ร้อยเอ็ดกรีน) โดยมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 4,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 365 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 2,640 2,622 1% ทีแอลพีโคเจน 1,629 1,335 22% เอพีบีพี 272 277 (2%) ร้อยเอ็ดกรีน 142 84 70% รายได้ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจาก ทีแอลพี โคเจน จำนวน 295 ล้านบาท ซึ่งเริ่ม รับรู้รายได้หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546 และ ร้อยเอ็ดกรีนที่ เริ่มรับรู้รายได้หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 โดยมีรายได้ เพิ่มขึ้น จำนวน 58 ล้านบาท - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 42 ล้านบาท ลดลง 24 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้อื่นๆของ จีอีซี ลดลง - ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 53 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2546 เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากการ ซ่อมบำรุงรักษาหลัก 4) รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ จำนวน 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน จำนวน 396 ล้านบาท สำหรับกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น(โคแนล) และโครงการน้ำเทิน 2 (Nam Theun 2 Power Co.,Ltd.หรือ เอ็นทีพีซี) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ - รายได้ค่าไฟฟ้า จำนวน 717 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 175 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20 ซึ่งเกิดจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าในปี 2547 ต่ำกว่าปี 2546 เนื่องจากการ โอนโรงไฟฟ้านอร์ธเทิร์นมินดาเนา เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) จำนวน 58 เมกะวัตต์ ออกไปให้กับ เนชั่นแนล เพาเวอร์ คอร์เปอเรชั่น (เอ็นพีซี) เมื่อเดือน กรกฎาคม 2546 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 38 ล้านบาท ลดลง 7 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 15 - ส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ในปี 2547 เท่ากับ 25 ล้านบาท ลดลง 578 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2546 ซึ่งมีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายในการ พัฒนาโครงการน้ำเทิน 2 ตามนโยบายบัญชีใหม่ โดยมีส่วนแบ่งค่าใช้จ่ายก่อนปี 2546 ทั้งสิ้น 506 ล้านบาท 5) รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ จำนวน 559 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน จำนวน 125 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 29 สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง รายได้ค่าบริการ - เอสโก 390 283 38% รายได้ค่าน้ำ - เอ็กคอมธารา 157 142 11% - รายได้ค่าบริการ จำนวน 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 107 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 38 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของการให้บริการบำรุงรักษาและเดินเครื่อง ของ เอสโก กับ โรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน - รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 157 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 15 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 เนื่องจากอัตราค่าน้ำและปริมาณการจำหน่ายที่มากขึ้น - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 18 ส่วนใหญ่จากรายได้อื่นๆของ เอสโก - ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าของเอสโก จำนวน 0.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.24 ล้านบาท ซึ่งมาจาก บริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) ในขณะที่บริษัทพลังงานการเกษตร จำกัด (เออี) รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 0.49 ล้านบาท ซึ่งทำให้ส่วนได้เสียในเออีมีมูลค่าเท่ากับศูนย์ 2.3 การวิเคราะห์รายจ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า ในปี 2547 จำนวน 11,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,532 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 แบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ ค่าใช้จ่ายรวม: หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง บผฟ. 452 599 (24%) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) 5,791 4,622 25% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) 4,428 4,093 8% กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าต่างประเทศ (Overseas) 581 520 12% กลุ่มธุรกิจอื่นๆ (Others) 420 306 37% 1) ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. จำนวน 452 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายในการบริหาร ทั่วไป 406 ล้านบาท และดอกเบี้ยจ่าย 46 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายของ บผฟ.จำนวน 452 ล้านบาทนั้นลดลงจากปีก่อนรวมทั้งสิ้น 146 ล้านบาท สาเหตุจากดอกเบี้ยจ่ายซึ่งลดลง 74 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 61 เนื่องจากจำนวนเงินต้นของหุ้นกู้ที่ลดลงและได้ชำระคืนหมดแล้ว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไปลดลง 73 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 เนื่องจาก ในปี 2546 บผฟ. ตัดจ่ายค่านิยมของเงินลงทุนในโครงการบ่อนอก 66 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบดังกล่าว ค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไปลดลง 7 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 2) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) จำนวน 5,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,168 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากผลกระทบจาก การเปลี่ยนนโยบายบัญชี รายละเอียดดังต่อไปนี้ - ต้นทุนขาย จำนวน 3,329 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 1,111 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 50 สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนนโยบายบัญชีใหม่เรื่อง นโยบายเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรักษาหลักในปี 2546 ทำให้มีการนำผลกระทบที่เกิดขึ้น ย้อนหลังก่อนปี 2546 มาไว้ในงบการเงินปี 2546 ส่งผลให้ บฟร. และ บฟข. มีต้นทุนขายในปี 2546 ลดลง 529 ล้านบาท และ 443 ล้านบาทตามลำดับ หากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นย้อนหลังก่อนปี 2546 จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี บฟร. มีต้นทุนลดลง 35 ล้านบาทสาเหตุหลักจากค่าเบี้ยประกันภัยที่ลดลง บฟข. มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 173 ล้านบาท เนื่องจากงานซ่อมบำรุงรักษาหลัก ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP): หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 1,806 1,312 38% บฟข. 1,523 907 68% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 669 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 328 ล้านบาทหรือ ร้อยละ 96 สาเหตุหลักจากภาษีของ บฟร. จำนวน 435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302 ล้านบาท เนื่องจากตั้งแต่ วันที่ 20 เมษายน 2546 บฟร. จะได้รับลดหย่อน ภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 โดยระยะเวลาที่ บฟร. ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีกำหนด 8 ปีนับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบ กิจการนั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2546 - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 1,793 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 271 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 155 ล้านบาท และ 116 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากเงินต้นของเงินกู้ลดลง 3) ค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) จำนวน 4,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 335 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 8 รายละเอียดดังต่อไปนี้ - ต้นทุนขาย จำนวน 3,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 จำนวน 375 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของจีอีซี ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 188 ล้านบาท เนื่องจากการบำรุงรักษาหลัก และทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 160 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้อง กับรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีต้นทุนขายร้อยเอ็ดกรีน เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP): หน่วย:ล้านบาท ปี 2547 ปี 2546 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 2,210 2,022 9% ทีแอลพี โคเจน 1,216 1,056 15% เอพีบีพี 203 199 2% ร้อยเอ็ดกรีน 82 59 40% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและอื่นๆ จำนวน 421 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนทั้งสิ้น 10 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 สาเหตุหลักเนื่องจาก ทีแอลพี โคเจน มีค่าใช้จ่ายในการ บริหารเพิ่มขึ้น 21 ล้านบาทซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเริ่มรับรู้ รายได้หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2546 (ยังมีต่อ)