15 พฤษภาคม 2549
บทรายงานและการิวเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 3 เดือน ปี 2549
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาสที่ 1 ปี 2549
สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2549
หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ
ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงิน
และผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ
คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอ
ข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และ
หากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-3 หรือ email : ir@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. บทสรุปผู้บริหาร
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน
(Independent Power Producer) ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง ณ ปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้น
รวมจำนวน 2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 12 โรง
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 สิ้นสุดวันที่
31 มีนาคม 2549 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 573 ล้านบาท หรือคิดเป็น
ร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตรา
แลกเปลี่ยนแล้ว ในไตรมาสแรกของปี 2549 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 1,689 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 จำนวน 221 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15
สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจาก
- บผฟ. มีกำไรสุทธิเท่ากับ 66 ล้านบาท ลดลง 39 ล้านบาท เนื่องจากเงินปันผลรับ
จากการลงทุนทางการเงินลดลง
- กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.)
และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 1,475 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 330 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ บฟข. และ บฟร.
- กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก
จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์
(บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ
บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 12 ล้านบาท
ลดลงทั้งสิ้น 72 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายบริหารและดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี
ที่เพิ่มขึ้น
- กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น
(โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 43 ล้านบาท ลดลงทั้งสิ้น
26 ล้านบาท เนื่องจากโคแนลได้โอนโรงไฟฟ้าบางส่วนของ นอร์ธเทิร์น มินดาเนา เพาเวอร์
คอร์ปอร์เรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) ให้แก่ เนชั่นแนล เพาเวอร์ คอร์ปอร์เรชั่น (เอ็นพีซี) ประกอบ
กับ บผฟ. ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินในรูป Standby Letters of Credit สำหรับ
ส่วนของผู้ถือหุ้นที่ บผฟ. จะต้องลงทุนในเอ็นทีพีซี และ เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง
โรงไฟฟ้าในลาว ทำให้งบการเงินของ เอ็นทีพีซี มีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทฯ จึงนำมาจัดทำ
งบการเงินรวมตามสัดส่วนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 โดยมีผลขาดทุนในไตรมาสแรก
ปี 2549 จำนวน 5 ล้านบาท
- กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก)
และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
รวมทั้งสิ้น 28 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก
2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ
บผฟ. เป็นไอพีพีแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งแปรรูปมาจากส่วนการผลิตบางส่วนของ
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กฟผ. จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง
(Holding Company) โดยการลงทุนในบริษัทย่อย หรือบริษัทร่วมต่าง ๆ ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า
"เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการ
ด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม
และการพัฒนาสังคม"
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของ บผฟ. เราได้มุ่งเน้นการประกอบธุรกิจในการ
ผลิตกระแสไฟฟ้าและจำหน่ายให้ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟระยะยาว นอกจากนั้น เรายัง
แสวงหาการลงทุนจากการพัฒนาหรือซื้อโครงการจากไอพีพีทั้งในประเทศไทยและภูมิภาค
อาเซียน โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการ
แสวงหากำไรจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและ
ให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้
ณ เดือนมีนาคม 2549 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,456.66
เมกะวัตต์/1 ซึ่งประมาณร้อยละ 9.12 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ.
โดยในไตรมาสแรกของปี 2549 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนมีนาคมที่
20,744.88 เมกะวัตต์/1 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 2.59 เมื่อเทียบกับความต้องการ
พลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมของปี 2548
/1 ที่มา: กฟผ.
คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้ากำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาหลักเกณฑ์การ
เปิดประมูลไอพีพีโดยอาจห้ามมิให้บริษัทลูกของ กฟผ. ที่มี กฟผ. ถือหุ้นเกินร้อยละ 25
เข้าร่วมประมูล ยกเว้นจะยอมลดสัดส่วนการถือหุ้นลงให้ต่ำกว่าร้อยละ 25 เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์
ทั้งนี้ บผฟ. ยังไม่สามารถประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ แต่ บผฟ. ก็ได้ดำเนินการวาง
กลยุทธ์ที่เหมาะสมโดยอาศัยความร่วมมือตลอดจนความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์กรเพื่อ
เตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพไว้แล้ว
ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) รวมจำนวน
2,414 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 12 โรง โดยร้อยละ 85 ของกำลังผลิต
มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข.
ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก
นอกจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่นั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 4 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลัง
การผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,021 เมกะวัตต์ ได้แก่
1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการ
คือ บริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น (จีพีจี) ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี
กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้มีกำหนด
เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิตโรงละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่
1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 18 มกราคม
2549 โครงการเบิกเงินกู้ครั้งแรกภายใต้เงื่อนไขใหม่ที่จำกัดความรับผิดชอบ
ของเจ้าของโครงการ (Project Finance) และได้รับการปรับปรุงเงื่อนไขเงินกู้
ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเปลี่ยนเจ้าหนี้เงินกู้ต่างประเทศจากธนาคารพาณิชย์ไทย
เป็นธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ และ JBIC
2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของโครงการ)
ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต
1,070 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2548 ได้มีการลงนามสัญญาการกู้ยืมเงินและ
การให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่างๆ และได้มีการเบิกเงินกู้งวดแรกเมื่อวันที่
15 มิถุนายน 2548 สำหรับงานก่อสร้างเกิดความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้เล็กน้อย
ในช่วงฤดูฝน แต่คาดว่าจะสามารถเร่งดำเนินการให้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ได้
โครงการนี้มีกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2552 และมีสัญญา
ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือขายให้กับรัฐบาลลาว
3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 47.5)
ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิง
เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547
การก่อสร้างจึงล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการได้รับการอนุมัติจาก กฟผ.
ให้เลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. จากเดือน เมษายน 2549
เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2549
4. โครงการขยายกำลังการผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50
ใน บริษัท เอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด (บรพ.) ซึ่งถือหุ้นใน เอพีบีพี ร้อยละ 30)
กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า
จำหน่ายให้กับลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548
ได้มีการลงนามสัญญาการกู้ยืมเงินกับธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) และได้มีการ
เบิกเงินกู้งวดแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2548 โครงการขยายกำลังการผลิตนี้มีกำหนดเริ่ม
เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บผฟ. มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นใน
อัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่าง
สม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่างๆ
ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ
3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัท
ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก
คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัด
โครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถ
ในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศสาธารณ
รัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ บผฟ. ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินในรูป SBLC
สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่ บผฟ. จะลงทุนในเอ็นทีพีซีจำนวน 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเงินลงทุน
ใน เอ็นทีพีซี ได้นำมาจัดทำงบการเงินรวมระหว่างกาลตามวิธีรวมตามสัดส่วน เนื่องจากงบการเงิน
ของกิจการร่วมค้าดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2548
ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้
เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
3.1 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. สำหรับไตรมาสแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2549
เป็นจำนวนทั้งสิ้น 2,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 573 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 38 เมื่อเปรียบเทียบ
กับผลการดำเนินงานของช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548
หน่วย:ล้านบาท
กำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปี 2549 กำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปี 2548
ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX
บผฟ. 66 66 105 109
กลุ่มธุรกิจไอพีพี 1,475 1,791 1,145 1,140
กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 12 75 84 102
กลุ่มธุรกิจผู้ผลิต
ไฟฟ้าต่างประเทศ 43 46 69 80
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 93 92 65 65
หมายเหตุ: - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข.
- เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
- ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี
- อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา
ในไตรมาส 1 ปี 2549 บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 380 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่ง บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
จำนวน 28 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจำนวน 369 ล้านบาท
เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของ
การแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท
ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 มีนาคม 2549) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31
ธันวาคม 2548)
หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในไตรมาส 1 ปี 2549
บริษัทจะมีกำไรจำนวน 1,689 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2548 จำนวน 221 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 15
นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 380 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่าย
จำนวน 474 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 338 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ต่างๆ จำนวน 665 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ.ในไตรมาสที่ 1 ปี 2549 จะเป็นจำนวน 3,166 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 444 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับกำไร ของกลุ่ม บผฟ. ในช่วง
เวลาเดียวกันของปี 2548 จำนวน 2,722 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
จำนวน 28 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 468 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 119 ล้านบาท
และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 666 ล้านบาท
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้
- อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 54.26
- อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 33.24
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 3.21 บาท
อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 54.26 นั้นสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548
ซึ่งเท่ากับร้อยละ 53.82 สาเหตุหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าไฟของ บฟข. และ บฟร.
ซึ่งเป็นไปตามประมาณการ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ของ จีอีซี
และภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น ของ บฟข. ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1 ปี 2549
(ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 33.24 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกัน
ของปี 2548 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 34.84
3.2 การวิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่าย
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2549 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่ง
กำไรในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 5,082 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เพิ่มขึ้นจำนวน 867 ล้านบาท หรือร้อยละ 21
ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า มีจำนวนรวมทั้งสิ้น
3,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 625 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24
โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้
รายได้และค่าใช้จ่ายรวม: หน่วย : ล้านบาท
บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี
Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48
รายได้รวม 175 200 2,904 2,418 1,471 1,171
ค่าใช้จ่ายรวม 109 95 1,429 1,274 1,417 1,066
ต่างประเทศ อื่นๆ รวม
Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48
รายได้รวม 195 199 336 226 5,082 4,215
ค่าใช้จ่ายรวม 96 73 234 153 3,285 2,661
1) บผฟ. มีรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2549 รวมจำนวน 175 ล้านบาท แบ่งเป็น
เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน 101 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 44 ล้านบาท และดอกเบี้ยรับ 30
ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ทั้งสิ้น 25 ล้านบาท
หรือร้อยละ 13 สาเหตุหลักเนื่องจากเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลงจำนวน 66
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39 เนื่องจากสภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่รายได้อื่นๆ
เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท จากค่า Internal Development Cost สุทธิของโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน
35 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตาม Shareholders' Agreement และดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท
ทั้งนี้รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ในไตรมาส 1 ปี 2549 ยังคงมาจากเงินปันผลรับจาก
การลงทุนทางการเงินคือกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) จำนวน
65 ล้านบาท ลดลง 26 ล้านบาท เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำ
ภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ จำนวน 31 ล้านบาท ลดลง 31 ล้านบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 109 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป
ทั้งจำนวน เพิ่มขึ้น14 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 สาเหตุหลัก
จากค่าธรรมเนียมของ Standby Letters of Credit สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่จะต้องลงทุนใน
เอ็นทีพีซี และสำหรับการปลดสำรองเงินสดในบัญชีหลักประกัน Debt Service Reserve
Accounts ของ บฟร. และ บฟข. และค่าที่ปรึกษาทางการเงิน
2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. และ บฟข. มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 2,904 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 485 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548 และมีค่าใช้จ่าย
จำนวน 1,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 156 ล้านบาท หรือร้อยละ 12
โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจไอพีพี : หน่วย : ล้านบาท
บฟร. บฟข. รวม
Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 1,432 1,249 1,471 1,169 2,904 2,418 20%
ค่าใช้จ่ายรวม 697 684 733 590 1,429 1,274 12%
- รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่ม จำนวนรวม 2,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1
ของปีก่อน จำนวน 428 ล้านบาท หรือร้อยละ 18 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน
1,370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่เพิ่มขึ้น
และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 1,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 292 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ
(Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า
ในลักษณะ"Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญา
ซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 1,370 1,235 11%
บฟข. 1,439 1,147 25%
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 2,809 2,382 18%
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่
คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า
ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการ
กู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข.
จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่อ
อัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลง
เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจาก
บริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 241
ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2549
- รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58 ล้านบาท
หรือร้อยละ 157 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 45 ล้านบาท จากจำนวน
เงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มทุนใน บฟร. ของ บผฟ. และดอกเบี้ยรับของ บฟข. เพิ่มขึ้น
9 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อีกทั้งรายได้อื่นๆของ บฟร. และ บฟข. เพิ่มขึ้น
3 ล้านบาท
- ต้นทุนขาย จำนวน 777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ทั้งสิ้น
52 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7 สาเหตุหลักจาก บฟข. ซึ่งมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 48 ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2548 เนื่องจากมีงานซ่อมบำรุงรักษาหลัก
ตามที่กำหนดไว้ สำหรับ บฟร. มีต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 419 416 1%
บฟข. 358 309 16%
รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 777 725 7%
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 343 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 168 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 96 สาเหตุหลักจาก บฟข. ได้เริ่มเสียภาษีเงินได้
นิติบุคคลจำนวน 146 ล้านบาท เนื่องจาก บฟข. ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีกำหนด 8
ปีนับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้นได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2547
และหลังจากนั้นจนถึงสิ้นปี 2548 บฟข. ได้ใช้ผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมาจนหมด และในปี
2549 เป็นต้นไป บฟข. จะเริ่มเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติ
บุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ ระยะลดหย่อน
ภาษีอีก 5 ปีนี้จะสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กันยายน 2552 นอกจากนั้น ภาษีเงินได้นิติบุคคลของ
บฟร. เพิ่มขึ้น 15 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
- ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 309 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 1 ปีก่อน จำนวน
64 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 17 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 25 ล้านบาท
และ 40 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากจำนวนเงินต้นของเงินกู้ลดลง
2) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน
และ ร้อยเอ็ด กรีน ในไตรมาส 1 ปี 2549 มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก
ช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2548 จำนวน 300 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 26 และมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน
1,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 351 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 33
โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
จีอีซี ทีแอลพี โคเจน เอพีบีพี
Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48
รายได้รวม 806 652 466 406 122 70
ค่าใช้จ่ายรวม 918 636 390 330 75 70
ร้อยเอ็ด กรีน รวม
Q1'49 Q1'48 Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 78 43 1,471 1,171 26%
ค่าใช้จ่ายรวม 34 31 1,417 1,066 33%
- รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่ม เป็นจำนวนรวม 1,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน
254 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 รายได้ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจาก จีอีซี จำนวน 136 ล้านบาท
เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเรียกกำลังการผลิตสำหรับความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจาก กฟผ.
ส่วนทีแอลพี โคเจนมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 59 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้าให้
แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้ค่า
ไฟฟ้าของเอพีบีพี เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 กำลังการ
ผลิตลดลงเนื่องจากการชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานของเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า และ
ร้อยเอ็ด กรีนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 30 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจาก
ราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ ส่งผลให้รายได้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี 784 648 21%
ทีแอลพี โคเจน 462 403 15%
เอพีบีพี 83 54 54%
ร้อยเอ็ด กรีน 68 38 79%
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 1,398 1,143 22%
- รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท
ส่วนใหญ่จากรายได้อื่นๆของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 14 ล้านบาท เนื่องจากได้รับค่าชดเชยจาก
บริษัทประกันภัย และรายได้จากดอกเบี้ยรับของ จีอีซี เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท อีกทั้งรายได้อื่นๆ
ของร้อยเอ็ด กรีนเพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท
- ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22
ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
เงินตราต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคม
อุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น
- ต้นทุนขาย จำนวน 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2548 จำนวน 238
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 26 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 172 ล้านบาท
และต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 62 ล้านบาท เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
ส่วนต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 3 ล้านบาท เนื่องจากราคาและปริมาณเชื้อเพลิงแกลบ
ที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'49 Q1'48 %เปลี่ยนแปลง
จีอีซี 711 539 32%
ทีแอลพี โคเจน 363 301 21%
(ยังมีต่อ)