EN | TH
10 สิงหาคม 2549

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ครึ่งปีแรกปี 2549

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ครึ่งปีแรก ปี 2549 สิ้นสุด ณ 30 มิถุนายน 2549 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและ คำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจ เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุน ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใด กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-3 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (Independent Power Producer) ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง ณ ปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,405 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 11 โรง สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ในครึ่งปีแรก ปี 2549 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2549 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,313 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2548 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในครึ่งปีแรกของปี 2549 บริษัทจะมีกำไร จำนวน 3,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 จำนวน 504 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 19 สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจาก - บผฟ. มีกำไรสุทธิเท่ากับ 71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 ล้านบาท จากดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น และการรับรู้ ค่าชำระคืน Internal Development Cost สุทธิของโครงการน้ำเทิน 2 สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2549 - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 2,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 566 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ บฟข. และ บฟร. - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 90 ล้านบาท ลดลงทั้งสิ้น 65 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายบริหารและดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีกำไรสุทธิเท่ากับ 75 ล้านบาท ลดลงทั้งสิ้น 37 ล้านบาท เนื่องจากโคแนลได้โอนโรงไฟฟ้าของ นอร์ธเทิร์น มินดาเนา เพาเวอร์ คอร์ปอร์เรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) ให้แก่ เนชั่นแนล เพาเวอร์ คอร์ปอร์เรชั่น (เอ็นพีซี) ประกอบกับ บผฟ. ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุน ทางการเงินในรูป Standby Letters of Credit (SBLC) สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่ บผฟ. จะต้องลงทุน ในเอ็นทีพีซี และ เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในลาว ทำให้งบการเงินของ เอ็นทีพีซี มีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทฯ จึงนำมาจัดทำงบการเงินรวมตามสัดส่วนตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548 โดยมีผลขาดทุนในครึ่งปีแรกปี 2549 จำนวน 9 ล้านบาท - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 24 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นไอพีพีแห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง คือการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่าง ๆ บผฟ. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า "เป็นบริษัท ไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงาน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสังคม" บผฟ. ดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ กฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการแสวงหากำไรจากโครงการ ที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับ ความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ณ เดือนมิถุนายน 2549 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,457 เมกะวัตต์ /1 ซึ่ง ประมาณร้อยละ 9.1 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในครึ่งปีแรกของปี 2549 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ 21,064 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตราการ เติบโตร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนของปี 2548 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ย ที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจที่ลดลง กฟผ. อยู่ระหว่างการปรับแผนพัฒนา กำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ เพื่อประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ เบื้องต้นคาดว่าความต้องการไฟฟ้าปี 2554-2558 จะปรับลดลงจาก 13,000 เมกะวัตต์เหลือเพียง 9,000 เมกะวัตต์ ส่วนแผนการเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้าจาก ไอพีพี อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษา ออกเงื่อนไขประมูล (ทีโออาร์) ต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าทีโออาร์จะแล้วเสร็จใน ปี 2550 และหลังจากนั้น จะได้ดำเนินการเปิดประมูลกับนักลงทุนผู้สนใจจากทั่วโลกต่อไป ทาง บผฟ. ได้ดำเนินการ จัดเตรียมกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมโดยอาศัยความร่วมมือ ตลอดจนความชำนาญการของ บุลคลากรในองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อ เข้าร่วมประมูลไว้แล้ว /1 ที่มา: การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,405 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 11 โรง โดยร้อยละ 86 ของกำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิต ติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากโรงไฟฟ้าที่มีอยู่นั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 4 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งในส่วน การถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,021 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการ คือ บริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น (จีพีจี) ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้มี กำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิต หน่วยละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ ขณะนี้ได้ดำเนินการ ก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 83.4 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ใน เอ็นทีพีซี) ผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ มีกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้า ส่วนที่เหลือให้กับรัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณร้อยละ 23.5 3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 47.5) ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 ทำให้ การก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการได้รับการอนุมัติจาก กฟผ. ให้เลื่อน กำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. จากเดือน เมษายน 2549 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ขณะนี้ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการได้แล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 96.1 4. โครงการขยายกำลังการผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท เอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน เอพีบีพี ร้อยละ 30) กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับ ลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ เดือนมิถุนายน 2548 และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ปัจจุบันมีความคืบหน้าของการก่อสร้างประมาณร้อยละ 68.1 ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่าง สม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัท ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการ ร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการและ เพิ่มความสามารถในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ บผฟ. ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน ในรูป SBLC สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่ บผฟ. จะลงทุนในเอ็นทีพีซีจำนวน 94 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ ดังนั้นเงินลงทุนใน เอ็นทีพีซี ได้นำมาจัดทำงบการเงินรวมระหว่างกาลตามวิธีรวม ตามสัดส่วน เนื่องจากงบการเงินของกิจการร่วมค้าดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบริษัทตั้งแต่ ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. สำหรับครึ่งปีแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 3,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,313 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 56 เมื่อ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ของปี 2548 หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2549 กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2548 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 71 71 56 109 กลุ่มธุรกิจไอพีพี 2,846 3,252 2,280 1,998 กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 90 104 155 (4) กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ 75 81 111 116 กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 144 144 120 120 หมายเหตุ: - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ในครึ่งปีแรก ปี 2549 บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 426 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่ง บผฟ. มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 383 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจำนวน 393 ล้านบาท เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการ แปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 มิถุนายน 2549) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2548) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในครึ่งปีแรก ปี 2549 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 3,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ปี 2548 จำนวน 504 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 426 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 893 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 651 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่างๆ จำนวน 1,365 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ.ในครึ่งปีแรก ปี 2549 จะเป็นจำนวน 6,135 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 848 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ในช่วงเวลา เดียวกันของปี 2548 จำนวน 5,287 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 383 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 956 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 256 ล้านบาทและ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,353 ล้านบาท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 53.37 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 32.65 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 6.13 บาท อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 53.37 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 เล็กน้อยซึ่งเท่ากับร้อยละ 53.47 สำหรับอัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 32.65 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 32.71 3.2 การวิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่าย ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ปี 2549 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และส่วนแบ่งกำไร ในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 9,881 ล้านบาท เมื่อ เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เพิ่มขึ้นจำนวน 1,560 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 ส่วน ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 6,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 1,012 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 19 โดยมี รายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายรวม หน่วย:ล้านบาท บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 รายได้รวม 284 245 5,780 4,820 2,919 2,439 ค่าใช้จ่ายรวม 213 189 2,935 2,540 2,759 2,259 ต่างประเทศ อื่นๆ รวม 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 รายได้รวม 381 418 517 399 9,881 8,321 ค่าใช้จ่ายรวม 207 203 354 264 6,468 5,456 1) บผฟ. มีรายได้ในครึ่งปีแรก ปี 2549 รวมจำนวน 284 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน 167 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 72 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ 45 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2548 ทั้งสิ้น 38 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นๆ 30 ล้านบาท ซึ่งมาจากค่าชดเชย Internal Development Cost สุทธิของโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่ง บผฟ. รับรู้ในครึ่งปีแรก จำนวนทั้งสิ้น 35 ล้านบาท และเป็นไปตาม Shareholder's Agreement และดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่วนเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลงจำนวน 4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 ทั้งนี้รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ในครึ่งปีแรก ปี 2549 ยังคงมาจาก เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินคือกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) จำนวน 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39 ล้านบาท เงินปันผลรับจาก บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ จำนวน 31 ล้านบาท ลดลง 31 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 213 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการ บริหารทั่วไปทั้งจำนวน เพิ่มขึ้น24 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2548 สาเหตุหลักจากค่าธรรมเนียมของ SBLC สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่จะ ต้องลงทุนในเอ็นทีพีซี และสำหรับการปลดสำรองเงินสดในบัญชีหลักประกัน Debt Service Reserve Accounts (DSRA) ของ บฟร. และ บฟข. และเงินบริจาค สำหรับงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี 2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. และ บฟข. มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 960 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2548 และมีค่าใช้จ่าย จำนวน 2,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 394 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. รวม 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 2,855 2,509 2,925 2,311 5,780 4,820 20% ค่าใช้จ่ายรวม 1,388 1,339 1,546 1,202 2,935 2,540 16% - รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่ม จำนวนรวม 5,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปีก่อน จำนวน 820 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 2,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 236 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่เพิ่มขึ้น และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 2,846 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 585 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญา ซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย :ล้านบาท 1H'49 1H'48 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 2,720 2,485 9% บฟข. 2,846 2,262 26% รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 5,566 4,746 17% สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก ที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจาก บริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 450 ล้านบาท สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2549 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 214 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 190 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 108 ล้านบาท จากจำนวนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มทุนใน บฟร. ของ บผฟ. และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และดอกเบี้ยรับของ บฟข. เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อีกทั้งรายได้อื่นๆ ของ บฟร. และ บฟข. เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท - ต้นทุนขาย จำนวน 1,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ทั้งสิ้น 210 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 สาเหตุหลักจาก บฟข. ซึ่งมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 180 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ปี 2548 เนื่องจากมีงานซ่อมบำรุง รักษาหลักตามที่กำหนดไว้ สำหรับ บฟร. มีต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 1H'49 1H'48 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 842 813 4% บฟข. 815 634 28% รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 1,657 1,447 14% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 665 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 329 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 98 สาเหตุหลักจาก บฟข. ได้เริ่มเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลจำนวน 282 ล้านบาท เนื่องจาก บฟข. ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีกำหนด 8 ปี นับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้นได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2547 และหลังจากนั้นจนถึงสิ้นปี 2548 บฟข. ได้ใช้ผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมาจนหมด และในปี 2549 เป็นต้นไป บฟข. จะเริ่มเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ กำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ ระยะลดหย่อนภาษีอีก 5 ปีนี้ จะสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กันยายน 2552 นอกจากนั้น ภาษีเงินได้นิติบุคคลของ บฟร. เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 612 ล้านบาท ลดลงจากครึ่งปีแรก ปีก่อน จำนวน 144 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 19 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 63 ล้านบาท และ 81 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง 3) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน ในครึ่งปีแรก ปี 2549 มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 2,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2548 จำนวน 479 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 20 และมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 2,759 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 500 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท จีอีซี ทีแอลพี โคเจน เอพีบีพี 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 รายได้รวม 1,558 1,383 983 818 247 143 ค่าใช้จ่ายรวม 1,736 1,386 812 672 148 138 ร้อยเอ็ด กรีน รวม 1H'49 1H'48 1H'49 1H'48 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 131 96 2,919 2,439 20% ค่าใช้จ่ายรวม 63 64 2,759 2,259 22% - รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 2,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 406 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 17 รายได้ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจาก จีอีซี จำนวน 170 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเรียกกำลังการผลิตสำหรับความต้องการไฟฟ้าสูงสุดจาก กฟผ. และทีแอลพี โคเจนมีรายได้เพิ่มขึ้นจำนวน 161 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้า ให้แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายและอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้น สำหรับรายได้ค่าไฟฟ้าของเอพีบีพีแสดงการเพิ่มขึ้น 43 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันของปี 2548 ซึ่งกำลังการผลิตลดลงเนื่องจากการชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน ของเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า และร้อยเอ็ด กรีนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 33 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้า ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ ส่งผลให้รายได้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท 1H'49 1H'48 %เปลี่ยนแปลง จีอีซี 1,544 1,374 12% ทีแอลพี โคเจน 973 812 20% เอพีบีพี 167 124 34% ร้อยเอ็ด กรีน 120 87 38% รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 2,803 2,397 17% - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากรายได้อื่นๆของ เอพีบีพี ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 17 ล้านบาท เนื่องจากได้รับรู้ค่าชดเชย จากบริษัทประกันภัย และรายได้จากดอกเบี้ยรับของ จีอีซี เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น - ส่วนแบ่งผลกำไรจากกิจการร่วมค้า คือ เออีพี จำนวน 63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่าง ประเทศที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น - ต้นทุนขาย จำนวน 2,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรก ปี 2548 จำนวน 343 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 18 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 191 ล้านบาทเนื่องจาก ปริมาณการใช้และราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 146 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณการใช้และราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และต้นทุนขายของเอพีบีพีที่เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท (ยังมีต่อ)