EN | TH
13 พฤศจิกายน 2549

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 9 เดือน ปี 2549

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำงวด 9 เดือน สิ้นสุด ณ 30 กันยายน 2549 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูล และคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอ นี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้ นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัย ประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่ วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-3 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (Independent Power Producer) ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้ง ณ ปัจจุบันตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,405 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 11 โรง สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2549 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,831 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57 เมื่อ เทียบกับ 9 เดือนแรก ปี 2548 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ใน 9 เดือนแรก ของปี 2549 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 จำนวน 921 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26 สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก่อนผลกระทบ อัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจาก - บผฟ. มีกำไรสุทธิ 24 ล้านบาท ลดลง 15 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) และ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 3,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 742 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นของ บฟข. และ บฟร. - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 162 ล้านบาท ลดลงทั้งสิ้น 122 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายบริหารและดอกเบี้ยจ่าย ของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 287 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากค่าใช้จ่ายสุทธิของ เอ็นทีพีซี ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 จำนวน 22 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่งได้มีการบันทึกค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงานโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 346 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ค่าใช้จ่ายในการ พัฒนาโครงการจำนวน 280 ล้านบาท - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง คือการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่าง ๆ บผฟ. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า เรามุ่งเน้นที่จะเป็นบริษัทชั้นนำของคนไทย ที่ดำเนิน ธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจที่ให้บริการด้านพลังงานทั้งประเทศไทยและ ภูมิภาคอาเซียน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อมเป็นหลัก บผฟ. ดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งใน ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทน จากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการแสวงหากำไรจากโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการ สรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ สามารถยอมรับได้ ณ เดือนกันยายน 2549 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 26,394 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งประมาณร้อยละ 9.1 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในปี 2549 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ 21,064 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตรา การเติบโตร้อยละ 2.56 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ของปี 2548 /1 ที่มา: กฟผ. สืบเนื่องจากการปฎิรูปการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา ได้มีการ จัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดย ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีนโยบาย ที่จะสนับสนุนให้มีการแข่งขันมากขึ้นในการประมูลโรงไฟฟ้ารอบใหม่ โดยเฉพาะการเปิดโอกาส ให้บริษัทลูกของ กฟผ. เข้ามามีส่วนร่วมในการประมูลดังกล่าว เพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ สูงสุดต่อผู้บริโภค ซึ่งนโยบายสนับสนุนการแข่งขันดังกล่าวเปิดโอกาสให้ บผฟ. ได้มีส่วนร่วมใน การประมูลมากขึ้น โดย บผฟ. ได้จัดเตรียมกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมโดยอาศัยความร่วมมือ ตลอดจนความชำนาญการของบุคลากรในองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดเตรียมสร้าง โรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อเข้าร่วมประมูลต่อไป และภายหลังจากการลาออกของคณะ กรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม คาดว่ากระทรวงพลังงานจะดำเนินการ เพื่อให้มีโครงสร้างการกำกับดูแลการเปิดประมูลโรงไฟฟ้ารอบใหม่โดยไม่มีการเลื่อน จากกำหนดเดิมภายในปี 2550 ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 2,405 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 11 โรง โดยร้อยละ 86 ของกำลังผลิต มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิต ติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ โดยทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก นอกจากโรงไฟฟ้า ที่มีอยู่นั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 4 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิต ติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 1,021 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแล โครงการคือ บริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น (จีพีจี) ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัด สระบุรี กำลังผลิต 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้ มีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 และ 2 กำลังผลิต หน่วยละ 734 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2550 และวันที่ 1 มีนาคม 2551 ตามลำดับ ขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้าง โครงการแล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 90 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ มีกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในวันที่ 16 ธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือ ให้กับรัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 27 3. โครงการกัลฟ์ ยะลา กรีน (บผฟ. ถือหุ้นผ่านทาง จีอีซี คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 49) ในจังหวัดยะลา กำลังผลิต 23 เมกะวัตต์ โดยใช้เศษไม้ยางพาราเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจาก เหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ต้นปี 2547 ทำให้การก่อสร้าง ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ ทางโครงการได้รับการอนุมัติจาก กฟผ. ให้เลื่อนกำหนด เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์กับ กฟผ. จากเดือน เมษายน 2549 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ขณะนี้โครงการได้เลื่อนกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เป็นปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการได้แล้วเสร็จไปประมาณ 99% 4. โครงการขยายกำลังการผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในบริษัท เอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน เอพีบีพี ร้อยละ 30) กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับลูกค้า ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร โครงการนี้ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ปัจจุบันอยู่ระหว่าง ดำเนินการก่อสร้างซึ่งมีความคืบหน้าไปแล้วประมาณร้อยละ 81 นอกเหนือจากโครงการที่ บผฟ. กำลังดำเนินการพัฒนาอยู่ทั้ง 4 โครงการข้างต้นแล้ว บผฟ. ได้ตกลงทำสัญญาซื้อโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี (BLCP) กำลังการผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 จาก CLP Power (BLCP) Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CLP Holdings Limited เป็นมูลค่า 6,645 ล้านบาท โดยมูลค่านี้รวมการทดรองจ่ายจำนวน 2,000 ล้านบาท แก่ CLP Power (BLCP) Ltd สำหรับการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน BLCP เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ใช้ถ่านหินคุณภาพดีที่นำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย การทำรายการซื้อขายหุ้น BLCP ในครั้งนี้ จะเสร็จสมบูรณ์เมื่อมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อน ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ - มติที่ประชุมคณะกรรมการและมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ EGCOMP อนุมัติ ให้เข้าทำรายการตามประกาศของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง - การทำรายการต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กฟผ. ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ BLCP - การทำรายการต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้เงินกู้ของ BLCP จากผู้ถือหุ้นเดิม รายอื่น ๆ ของ BLCP ซึ่งไม่ได้เป็นคู่สัญญาในสัญญาซื้อขายหุ้น รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่ เป็นคู่สัญญากับ BLCP ในสัญญาดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา ร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มี เหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผล ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัท ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่ม ความสามารถในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ในไตรมาสที่ 3 ปี 2548 เอ็นทีพีซี ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ บผฟ. ได้ทำสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน ในรูป Standby Letters of Credit (SBLC) สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่ บผฟ. จะลงทุนใน เอ็นทีพีซีจำนวน 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเงินลงทุนใน เอ็นทีพีซี ได้นำมาจัดทำงบการเงินรวม ระหว่างกาลตามวิธีรวมตามสัดส่วน เนื่องจากงบการเงินของกิจการร่วมค้าดังกล่าวมีนัยสำคัญ ต่อกลุ่มบริษัทตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2548 ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. ใน 9 เดือนแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,831 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 57 เมื่อ เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2549 กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก ปี 2548 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. 24 24 39 92 กลุ่มธุรกิจไอพีพี 3,988 4,482 3,246 3,012 กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 162 354 283 153 กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า ต่างประเทศ 86 4 (201) (196) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 192 192 164 164 หมายเหตุ: - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 603 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่ง บผฟ. มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 307 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจำนวน 279 ล้านบาท เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการ แปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 30 กันยายน 2549) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2548) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนแรก ปี 2548 จำนวน 921 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 603 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 1,268 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 947 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 2,079 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ.ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 จะเป็นจำนวน 8,746 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,107 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 จำนวน 7,639 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 307 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 1,404 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 405 ล้านบาทและค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 2,300 ล้านบาท อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ มีดังนี้ - อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 52.36 - อัตราส่วนกำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 30.52 - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 8.46 บาท อัตราส่วนกำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 52.36 นั้นสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 เล็กน้อยซึ่งเท่ากับร้อยละ 50.63 สำหรับอัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 30.52 นั้นสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 27.87 ส่วนใหญ่ มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิของ บฟร. และ บฟข. ประกอบกับ ค่าใช้จ่ายของ เอ็นทีพีซี ลดลง 3.2 การวิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่าย ผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรก ปี 2549 รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และ ส่วนแบ่งกำไรในเงินลงทุนในบริษัทร่วมและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 14,585 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เพิ่มขึ้นจำนวน 1,918 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย บริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า มีจำนวน รวมทั้งสิ้น 9,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 938 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายรวม หน่วย : ล้านบาท บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี 9M'49 9M'48 9M'49 9M448 9M'49 9M'48 รายได้รวม 344 331 8,569 7,284 4,426 3,854 ค่าใช้จ่ายรวม 320 292 4,581 4,038 4,160 3,523 ต่างประเทศ อื่นๆ รวม 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 รายได้รวม 559 635 686 564 14,585 12,667 ค่าใช้จ่ายรวม 338 697 465 376 9,864 8,926 1) บผฟ. มีรายได้ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 รวมจำนวน 344 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน 167 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 128 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ 49 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2548 ทั้งสิ้น 13 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 ส่วนใหญ่จากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยรับ จำนวน 52 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 69 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และ รายได้อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 26 ล้านบาทซึ่งมาจากค่าชดเชย Internal Development Cost สุทธิของโครงการ น้ำเทิน 2 ซึ่ง บผฟ. รับรู้ใน 9 เดือนแรก จำนวนสุทธิทั้งสิ้น 36 ล้านบาท และเป็นไปตาม Shareholders' Agreement ในขณะที่เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินลดลงทั้งสิ้น 65 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 ทั้งนี้รายได้หลักส่วนใหญ่ของ บผฟ. ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 ยังคงมาจากเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงินคือกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) จำนวน 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและพัฒนา ทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ จำนวน 31 ล้านบาท ลดลง 61 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 320 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารทั่วไป ทั้งจำนวน เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากค่าธรรมเนียมของ SBLC สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นที่จะต้องลงทุนในเอ็นทีพีซี และสำหรับการปลดสำรองเงินสดในบัญชีหลักประกัน Debt Service Reserve Accounts (DSRA) ของ บฟร. และ บฟข. และเงินบริจาคสำหรับงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี 2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. และ บฟข. มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 8,569 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,285 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรก ปี 2548 และมีค่าใช้จ่าย จำนวน 4,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 543 ล้านบาท หรือร้อยละ 13 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. รวม 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 4,264 3,803 4,305 3,481 8,569 7,284 18% ค่าใช้จ่ายรวม 2,322 2,233 2,259 1,805 4,581 4,038 13% - รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่ม จำนวนรวม 8,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนแรก ของปีก่อน จำนวน 1,077 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 4,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 299 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้า (Capacity Rate) ที่เพิ่มขึ้น และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 4,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 778 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตร ค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ ?Cost Plus? หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 9M'49 9M'48 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 4,063 3,763 8% บฟข. 4,188 3,410 23% รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 8,250 7,173 15% สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย คงที่คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุล ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระ ค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า ระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยน ต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลัก ได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 652 ล้านบาท สำหรับ 9 เดือนแรก ปี 2549 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208 ล้านบาท หรือร้อยละ 188 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่เพิ่มขึ้นจำนวน 158 ล้านบาท จากจำนวนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มทุนใน บฟร. ของ บผฟ. ประกอบกับอัตรา ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น สำหรับดอกเบี้ยรับของ บฟข. เพิ่มขึ้น 45 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้น อีกทั้งรายได้อื่นๆของ บฟร. และ บฟข. เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท - ต้นทุนขาย จำนวน 2,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ทั้งสิ้น 97 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สาเหตุหลักจาก บฟข. ซึ่งมีต้นทุนขายเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 199 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 เนื่องจากมีงาน ซ่อมบำรุงรักษาหลักตามที่กำหนดไว้ สำหรับ บฟร. มีต้นทุนขายลดลง 102 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2548 เนื่องจากใน 9 เดือนแรกของปี 2548 บฟร.มีค่าบำรุงรักษาการเปลี่ยนทดแทนเพลากังหันไอน้ำที่ชำรุด ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 9M'49 9M'48 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 1,345 1,447 (7%) บฟข. 1,201 1,002 20% รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 2,546 2,449 4% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 689 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 144 สาเหตุหลักจาก บฟข. ได้เริ่มเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลจำนวน 411 ล้านบาท เนื่องจาก บฟข. ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีกำหนด 8 ปี นับจากวันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการนั้นได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2547 และหลังจากนั้นจนถึงสิ้นปี 2548 บฟข. ได้ใช้ผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมาจนหมด และในปี 2549 เป็นต้นไป บฟข. จะเริ่มเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ กำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ ระยะลดหย่อนภาษีอีก 5 ปีนี้จะสิ้นสุด ณ วันที่ 25 กันยายน 2552 นอกจากนั้น ภาษีเงินได้นิติบุคคลของ บฟร. เพิ่มขึ้น 100 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลของ บฟร.สำหรับ กำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี จะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 866 ล้านบาท ลดลงจาก 9 เดือนแรก ปีก่อน จำนวน 243 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 22 แบ่งเป็นการลดลงจาก บฟร. และ บฟข. จำนวน 118 ล้านบาท และ 125 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง 3) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน ใน 9 เดือนแรก ปี 2549 มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2548 จำนวน 572 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 และมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 4,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 637 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 18 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท จีอีซี ทีแอลพี โคเจน เอพีบีพี 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 รายได้รวม 2,394 2,201 1,494 1,274 339 237 ค่าใช้จ่ายรวม 2,607 2,164 1,232 1,049 223 214 ร้อยเอ็ด กรีน รวม 9M'49 9M'48 9M'49 9M'48 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 199 142 4,426 3,854 15% ค่าใช้จ่ายรวม 96 96 4,160 3,523 18% - รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 4,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 514 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 รายได้ส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้น มาจาก ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 210 ล้านบาท เนื่องจากรายได้การขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. และลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการจำหน่ายและอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้น และ จีอีซี เพิ่มขึ้น 182 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเรียกกำลังการผลิตสำหรับความ ต้องการไฟฟ้าสูงสุดจาก กฟผ. สำหรับรายได้ค่าไฟฟ้าของเอพีบีพีแสดงการเพิ่มขึ้น 64 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2548 ซึ่งในปี 2548 กำลังการผลิตลดลงเนื่องจาก การชำรุดของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานของเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า และร้อยเอ็ด กรีนที่มีรายได้ เพิ่มขึ้น 58 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่สูงขึ้นซึ่งสัมพันธ์ กับสูตรค่าไฟ ส่งผลให้รายได้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท 9M'49 9M'48 %เปลี่ยนแปลง (ยังมีต่อ)