14 พฤศจิกายน 2549
รายงานความเห็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ-ส่วนที่ 3
ส่วนที่ 3
ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับ
ความสมเหตุสมผลของรายการ
1) วัตถุประสงค์และเหตุผลในการเข้าทำรายการ
EGCOMP ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ
ซึ่งประกอบธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าและ
ธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า
การจัดโครงสร้างแบบบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company)
ในลักษณะนี้ทำให้ EGCOMP มีความคล่องตัวในการระดมเงินทุน
สำหรับโครงการใหม่และมีความคล่องตัวในการขยายกิจการและ
การบริหารโครงการใหม่ๆ โดยการจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อบริหาร
และดำเนินการของแต่ละโครงการแยกจากกัน อันจะส่งผลต่อ
การเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงานของแต่ละโครงการ
รวมทั้งทำให้การรายงานและประเมินผลผลการดำเนินงานของ
แต่ละโครงการมีความชัดเจนยิ่งขึ้น EGCOMP ซึ่งมีโครงสร้างธุรกิจ
ในรูปบริษัทโฮลดิ้งจะมีขอบเขตหน้าที่หลักในการพัฒนาธุรกิจ
การวางแผนกลยุทธ์และนโยบายการดำเนินธุรกิจ ด้านการบริหารงานบุคคล
การบริหารการเงิน งานบัญชีและงบประมาณ และการประชาสัมพันธ์
ของกลุ่มบริษัทในเครือ นอกจากนี้ EGCOMP ยังให้บริการด้านการ
ตรวจสอบภายใน และงานด้านกฎหมายกับบริษัทย่อย โดยบริษัทย่อยจะ
รับผิดชอบหลักในงานด้านการผลิต จำหน่าย การให้บริการ
เดินเครื่องและบำรุงรักษาของแต่ละโครงการโรงไฟฟ้า
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานของ EGCOMP รายได้หลักของบริษัทจะ
มาจากผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะมาจากรายได้ในรูปของ
ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทในเครือ
ประเภทของรายได้ 2546 2547 2548 6 เดือนของปี 2549
ล้านบาท% ล้านบาท% ล้ นบาท% ล้านบาท%
ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทในเครือ
6,001.18 90.76 4,462.60 86.76 3,817.11 85.28 3,440.86 89.58
- บจ.ผลิตไฟฟ้าระยอง
3,874.39 58.60 2,452.86 47.69 2,077.02 46.41 1,686.88 43.92
- บจ.ผลิตไฟฟ้าขนอม
1,911.07 28.90 1,626.89 31.63 1,824.89 40.77 1,524.44 39.69
-อื่นๆ
215.72 3.26 382.85 7.44 (84.80) (1.89) 229.54 5.98
เงินปันผลรับจากเงินลงทุนอื่น
479.80 7.26 475.21 9.24 241.21 5.39 167.424.36
อื่นๆ
130.95 1.98 205.83 4.00 417.25 9.33 232.93 6.06
รวม
6,611.93 100.00 5,143.64 100.00 4,475.57 100.00 3,841.21 100.00
ในแผนธุรกิจของ EGCOMP เพื่อสร้างการเจริญเติบโตของรายได้และ
ผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ EGCOMP
มีเป้าหมายในการเน้นการขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแส
ไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจที่ EGCOMP มีความเชี่ยวชาญและเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ
ในการเจริญเติบโตที่ดีทั้งในด้านรายได้ กำไรและกระแสเงินสด ในการขยายการ
ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า โดยทั่วไปสามารถดำเนินการ
ได้ใน 2 ทางเลือกได้แก่
* การจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นเพื่อเข้าไปประมูลสัมปทานผลิตและจำหน่าย
กระแสไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวอาจจะใช้เวลา
ในการดำเนินการค่อนข้างนานและผู้เข้าประมูลจำเป็นต้องมีความ
พร้อมทั้งด้านประสบการณ์และเงินทุน และมีความเสี่ยงสูงในการได้รับสัมปทาน
ความเสี่ยงด้านการบริหารการก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดเวลาภายใต้
ต้นทุนโครงการที่กำหนด รวมถึงการจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสม
* การเข้าซื้อหุ้นของกิจการผู้ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าซึ่งได้
รับสัมปทานผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแล้ว โดยอาจอยู่ในระหว่าง
การก่อสร้างโรงไฟฟ้าหรือเริ่มดำเนินการผลิตแล้ว ทางเลือกนี้จะ
ไม่มีความเสี่ยงในการได้รับสัมปทาน และลดความเสี่ยงในการบริหาร
การก่อสร้างและการดำเนินการในช่วงเริ่มดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์
แต่ทางเลือกนี้อาจจะต้องใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้นรวมทั้งต้องสามารถเจรจา
ตกลงกับผู้ขายเกี่ยวกับราคาและเงื่อนไขการซื้อหุ้นที่เป็นที่ยอมรับของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น การที่ EGCOMP จะเข้าซื้อหุ้นสามัญของ BLCP ซึ่งเป็นบริษัทที่
ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA)
อายุสัญญา 25 ปี กับกฟผ. โดยที่โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1เริ่มดำเนินการ
ในเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนดคือวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ในสัดส่วนร้อยละ 50
ของทุนที่ชำระแล้วของบริษัทดังกล่าวจากกลุ่ม CLP เป็นการดำเนินการ
ที่มีความสอดคล้องกับนโยบายการขยายธุรกิจของ EGCOMP โดยมีวัตถุประสงค์
และเหตุผลดังนี้
1. เป็นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ EGCOMP ในธุรกิจผลิตและจำหน่าย
กระแสไฟฟ้าในประเทศไทย
2. เป็นการสร้างการเจริญเติบโตของรายได้และกำไรจากการลงทุนของ
EGCOMP อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
3. เป็นการขยายการลงทุนของ EGCOMP เข้าสู่โรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งเป็น
ทางเลือกเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจ และเป็นการเพิ่มประสบการณ์ให้แก่
EGCOMP ในการดำเนินงานและบริหารโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งจะช่วยเพิ่ม
ความได้เปรียบของทางบริษัทในการเข้าประมูลโรงไฟฟ้า IPP ต่อไปในอนาคต
4. เป็นการเข้าลงทุนในโครงการ IPP ที่มีการก่อสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์และ
พร้อมจะเริ่มดำเนินการได้ตามกำหนด ทำให้มีความเสี่ยงของโครงการในช่วง
ก่อนเริ่มดำเนินการ (Pre-Operating Risk) น้อยมากและ
สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที
2) ผลดีต่อทาง EGCOMP และผู้ถือหุ้นของบริษัทจากการซื้อหุ้น BLCP
2.1) การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ EGCOMP ในธุรกิจผลิตและ
จำหน่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศไทย
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 EGCOMP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง
ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Equity MW) ในประเทศไทยทั้งสิ้น 2,378.90 เมกะวัตต์
จากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และขนาดเล็กรวมทั้งสิ้น 9 โรง คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด
ในอุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศไทยทั้งสิ้นประมาณ
ร้อยละ 9 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมของไทย หาก EGCOMP
เข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50 ของ BLCP ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้า
ติดตั้งทั้งสิ้น 1,434 เมกะวัตต์ จะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น
3,095.90 เมกะวัตต์ (คิดกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก BLCP ตามสัดส่วน
การลงทุนในบริษัทดังกล่าว) ซึ่งจะทำให้ EGCOMP มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ
ร้อยละ 11 ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของประเทศไทย ณ สิ้นปี 2549
นอกจากนี้ EGCOMP ยังได้ดำเนินโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าอีก 4
โครงการ เพื่อสร้างรายได้ให้แก่บริษัท ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้ง
ในสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทจำนวนรวม 1,021 เมกะวัตต์ ได้แก่
โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมแก่งคอย 2 ซึ่งมีกำหนดการเดิน
เครื่องในเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าโรงที่ 1 ในปี 2550 โครงการ
โรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 2 ในประเทศลาว ซึ่งมีกำหนดการเดินเครื่อง
ในเชิงพาณิชย์ในปี 2552 โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กัลฟ์ ยะลา
กรีนซึ่งมีกำหนดการเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์ในปลายปี 2549 และ
โครงการขยายกำลังการผลิต อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง นอกจากนั้น
บริษัทได้เตรียมพร้อมที่จะเสนอโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศไทย
เมื่อมีการเปิดประมูล รวมถึงกิจการผลิตไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทดแทน
ซึ่งเมื่อรวมการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว
ก็จะเป็นการขยายส่วนแบ่งตลาดของบริษัทในธุรกิจผลิตและ
จำหน่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศไทย ในช่วงปี 2552-2554
2.2) การเพิ่มรายได้และกำไรของ EGCOMP จากการลงทุนใน BLCP
จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ BLCP ลงนามกับกฟผ. เมื่อปี 2540
และแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2542 โดยมีอายุสัญญา 25 ปี นับจากวันที่
โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 2 ของ BLCP เริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้า
ตามกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดย BLCP จะขายไฟฟ้า
ที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่กฟผ. โดยมีการคิดค่าตอบแทนที่ EGAT
จะจ่ายให้แก่ BLCP ที่ชัดเจนและเป็นไปตามมาตรฐาน อันประกอบด้วย
1. ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ซึ่งเป็นค่าตอบแทน
สำหรับความพร้อมจากการที่โรงไฟฟ้า BLCP มีความพร้อมในการผลิต
ไฟฟ้าตามคุณสมบัติและปริมาณที่กำหนดตามคำสั่งเดินเครื่องของกฟผ.
โดยไม่คำนึงว่ากฟผ. จะสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าหรือไม่ โดยสูตรการคิด
ค่าตอบแทนในส่วนนี้จะครอบคลุมถึงต้นทุนคงที่ ต้นทุนเงินกู้และ
ผลตอบแทนจากการลงทุนที่เหมาะสม
2. ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment) ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่กฟผ.
จ่ายในการผลิตและส่งพลังงานไฟฟ้าตามคำสั่งเดินเครื่องของกฟผ.
โดยค่าพลังงานไฟฟ้าจะคำนวณจากค่าเชื้อเพลิงในการผลิต
ค่าขนส่งเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายผันแปรที่เกิดจากการเดิน
เครื่องและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า
3. นอกจากนี้ BLCP ยังจะได้รับค่าตอบแทนจากกฟผ.
เป็นค่าธรรมเนียมโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม (Added Facility Charge)
ซึ่งเป็นค่าชดเชยที่ BLCP ได้ลงทุนไปก่อนให้แก่กฟผ.
เพื่อก่อสร้างอุปกรณ์ในระบบส่งไฟฟ้าและต้นทุนอื่นๆในการเชื่อม
ต่อโรงไฟฟ้า BLCP เข้ากับระบบส่งไฟฟ้าของกฟผ.
ทั้งนี้ หาก BLCP มีค่าความพร้อมจ่ายและประสิทธิภาพในการดำเนิน
การผลิตไฟฟ้าตามที่กำหนดใน PPA ซึ่งทำให้ทาง BLCP สามารถจ่าย
กระแสไฟฟ้าเพื่อขายให้แก่ กฟผ. ตามคำสั่งของกฟผ. รวมถึงการบริหาร
ต้นทุนดำเนินงานได้ตามแผนแล้ว กระแสรายได้และเงินสดที่ BLCP
จะได้รับตลอดช่วงอายุ 25 ปีของ PPA ก็จะมีความแน่นอนค่อนข้างสูง
เนื่องจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบจาก
ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับธุรกิจ
ประเภทอื่นๆ และจะสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีให้แก่
EGCOMP ได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว ซึ่งเป็นการเพิ่มผลตอบแทน
จากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นของ EGCOMP
2.3) การเข้าลงทุนใน BLCP จะช่วยให้ EGCOMP ได้เพิ่มประสบการณ์
ในการดำเนินงานโรงไฟฟ้าถ่านหิน (Coal-Fired Power Plant)
และเป็นการขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยงในเรื่องแหล่งและประเภทของเชื้อเพลิง
ที่ปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก
ปัจจุบัน โรงไฟฟ้าของไทยพึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงถึง 70 %
ของปริมาณเชื้อเพลิงทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก
โรงไฟฟ้าที่ดำเนินงานโดยบริษัทย่อย บริษัทร่วมหรือกิจการร่วมค้าที่
EGCOMP ถือหุ้นอยู่เองก็เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก
ในการผลิต เช่นกัน ดังนั้น การเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า BLCP ซึ่งใช้ถ่านหิน
เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มประสบการณ์
ให้แก่ทาง EGCOMP ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
อันจะเป็นการสร้างความได้เปรียบให้แก่ทางบริษัทเองในการเข้า
ประมูล IPP ในรอบต่อไปซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในปี 2550
เนื่องจากคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า (Regulator)
ได้วางกรอบการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหญ่ (IPP)
ซึ่งสาระสำคัญที่เพิ่มเข้ามาในกรอบการประมูลได้แก่เรื่องของการ
กำหนดประเภทเชื้อเพลิงซึ่งได้เพิ่มเชื้อเพลิงถ่านหินเข้ามาด้วย
จากเดิมที่มีแต่ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก1
การเข้าลงทุนใน BLCP นอกจากจะเป็นการขยายส่วนแบ่งตลาด
ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของ EGCOMP และเป็นการเพิ่ม
ประสบการณ์ให้แก่ทางบริษัทในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าถ่านหินแล้ว
ยังจะเป็นการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าของ EGCOMP
ไปเป็นถ่านหินซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าก๊าซธรรมชาติ และน่าจะเป็นแหล่ง
เชื้อเพลิงทางเลือกหนึ่งสำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะทำการประมูลในอนาคตด้วย
2.4) เป็นการเข้าลงทุนในโครงการ IPP ที่มีการก่อสร้างใกล้เสร็จสมบูรณ์
และพร้อมจะเริ่มดำเนินการได้ตามกำหนด ทำให้มีความเสี่ยงของโครงการ
ในช่วงก่อนเริ่มดำเนินการ (Pre-Operating Risk) น้อยมากและ
สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที
BLCP เป็นบริษัทซึ่งได้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับกฟผ.
โดยได้ผ่านขั้นตอนหลักในช่วงก่อนเริ่มดำเนินการแล้ว เช่น การขออนุญาต
จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง การจัดหาแหล่งเงินทุน
การดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้า การว่าจ้างผู้ดำเนินการบริหาร
และซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า ตลอดจนการจัดทำสัญญาที่สำคัญเกี่ยวกับ
การดำเนินการโรงไฟฟ้า เป็นต้น ปัจจุบันการดำเนินการก่อสร้าง
โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1 ได้เสร็จเรียบร้อยแล้วและได้ผ่านการทดสอบ
ความพร้อมในการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว ทำให้โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1
เริ่มดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนดคือวันที่ 1 ตุลาคม 2549
ดังนั้นการเข้าลงทุนใน BLCP นับได้ว่าเป็นการลงทุนในโครงการ
ที่มีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำทั้งในด้านการก่อสร้าง การควบคุมต้นทุน
การก่อสร้างและความล่าช้าของโครงการ ตามกำหนดการ
โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1 ของ BLCP จะเริ่มทำการผลิตและจ่าย
กระแสไฟฟ้าให้แก่กฟผ. ในวันที่ 1 ตุลาคม 2549 แต่โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1
ดังกล่าวของ BLCP ได้ผ่านการทดสอบระบบผลิตและ
ได้เริ่มผลิตเพื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตั้งแต่ประมาณกลาง
เดือนสิงหาคม 2549 ดังนั้น การเข้าลงทุนของ EGCOMP
ใน BLCP จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการดำเนินงาน
ของ BLCP ได้ทันที
3) ปัจจัยความเสี่ยงอันอาจมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน
และฐานะทางการเงินของ BLCP
* ความเสี่ยงจากการก่อสร้างโครงการล่าช้า
จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
และประเภทอื่นในหลายประเทศของกลุ่ม Mitsubishi Consortium
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการว่าจ้างให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้า
BLCP ในปัจจุบันการก่อสร้างโรงไฟฟ้า BLCP หน่วยที่ 1 แล้วเสร็จ
โดยสามารถผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบสายส่งของ กฟผ.
ได้ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2549 แล้ว และจะส่งมอบงาน
ได้ตามกำหนดภายในสิ้นเดือนกันยายน 2549 นี้ ส่วนโรงไฟฟ้าหน่วยที่ 2
อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยการดำเนินการก่อสร้างโดยรวม
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2549 การก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ 98.5 %
โดยทาง BLCP คาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามกำหนด
นอกจากนี้ ตามสัญญาการให้บริการทางด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง
(Engineering Procurement & Construction Contract: EPC)
ได้มีการกำหนดค่าปรับจากการล่าช้าของโครงการที่ทางกลุ่ม
Mitsubishi Consortium จะต้องจ่ายให้แก่ BLCP ไว้ด้วย หากการ
ก่อสร้างโรงไฟฟ้าไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ดังนั้น ความเสี่ยงจากการ
ล่าช้าของการก่อสร้างโรงไฟฟ้า BLCP ถือได้ว่าต่ำมาก
* ความเสี่ยงจากการที่ต้นทุนโครงการสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้
(Cost overrun)
ตามสัญญาการให้บริการทางด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง (EPC)
ได้กำหนดมูลค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่แน่นอน (Lump sum fixed price)
ซึ่งการประมาณการต้นทุนโครงการได้มีการเผื่อค่า contingency
ไว้ด้วยแล้ว โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 สัดส่วนของ contingency
ที่ใช้ไปจริงยังต่ำกว่าที่ตั้งประมาณการไว้ค่อนข้างมาก และจากข้อมูลที่
ได้รับจาก EGCOMP ประมาณการค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ปรับปรุงจาก
ข้อมูลการลงทุนปัจจุบันคาดว่าค่าก่อสร้างโครงการน่าจะต่ำกว่า
ประมาณการค่าก่อสร้างเริ่มต้น (original forecast) ดังนั้น
ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า
BLCP ถือได้ว่าต่ำ
* ความเสี่ยงจากการที่ BLCP จำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิต
ได้ทั้งหมดให้แก่กฟผ.
ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนอิสระที่ BLCP
ทำกับกฟผ. BLCP จะต้องจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่กฟผ.
ตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งยาว 25 ปี ทำให้ BLCP
มีความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวและ
ขาดอำนาจต่อรองอันอาจมีผลกระทบต่อรายได้ของ BLCP
อย่างไรก็ตาม ลักษณะโครงสร้างลูกค้าและการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าของ
BLCP เป็นไปตามโครงสร้างธุรกิจโดยปกติของโครงสร้าง IPP
ซึ่งได้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกฟผ.และ BLCP
โดยมีการกำหนดเงื่อนไขในการรับซื้อไฟฟ้าและจ่ายค่าตอบ
แทนประเภทต่างๆที่กฟผ.ต้องจ่ายให้แก่ BLCP ที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน
โดย BLCP จะได้รับค่าตอบแทนจากการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้
แก่กฟผ.บางส่วนในรูปของค่าความพร้อม (Availability Payment)
และค่าธรรมเนียมโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม (Added Facility Charge)
โดยที่กฟผ.จะจ่ายรายได้ทั้งสองส่วนให้แก่ BLCP อย่างสม่ำเสมอ
ตามกำหนดระยะเวลา โดยไม่คำนึงว่ากฟผ.จะสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าหรือไม่
นอกจากนี้ จากการที่ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบค่อน
ข้างน้อยจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในระดับมหภาค
จะทำให้รายได้ของ BLCP ในรูปค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment)
ค่อนข้างมีความมั่นคง
* ความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย
ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าภายในประเทศขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ
ในระดับมหภาค โดยถ้าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของ
ประเทศชะลอตัวลง ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าจากทั้งภาค
อุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนก็จะลดลงเช่นกัน ซึ่งทำให้ปริมาณ
การสั่งซื้อกระแสไฟฟ้าจากกฟผ. ลดน้อยลง อันจะส่งผลกระทบต่อ
รายได้ของ BLCP อย่างไรก็ตาม จากการที่ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้า
ของประเทศไทยค่อนข้างจะได้รับผลกระทบจากความผันผวน
ของภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างน้อย ประกอบกับการที่กฟผ.
มีภาระผูกพันตามสัญญา PPA ที่จะต้องจ่ายค่าความพร้อม
(Availability Payment) หากโรงไฟฟ้า BLCP มีความพร้อม
ในการผลิตไฟฟ้าตามคุณสมบัติและในปริมาณที่กำหนด
ตามคำสั่งเดินเครื่องของกฟผ. โดยไม่คำนึงถึงว่า กฟผ.
จะสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าหรือไม่ โดยค่าความพร้อมเป็น
ค่าใช้จ่ายคงที่ในการดำเนินการและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า
และอัตราผลตอบแทนการลงทุนของ BLCP นอกจากนี้ BLCP
ยังได้รับค่าตอบแทนจากกฟผ. เป็นค่าธรรมเนียมโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม
(Added Facility Charge) ซึ่งเป็นการชดเชยที่ BLCP
ได้ลงทุนไปก่อนให้กับกฟผ. เพื่อก่อสร้างอุปกรณ์
ในระบบส่งไฟฟ้าและต้นทุนอื่นๆในการเชื่อมต่อโรงไฟฟ้า
BLCP เข้ากับระบบส่งไฟฟ้าของกฟผ. ซึ่งการจ่ายค่าตอบแทนดังกล่าว
โดยกฟผ.จะช่วยลดความเสี่ยงจากปริมาณความต้องการใช้
กระแสไฟฟ้าที่ลดลงไปได้ระดับหนึ่ง
* ความเสี่ยงจากการจัดซื้อถ่านหินจากผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียว
และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง
BLCP ได้ลงนามในสัญญาจัดหาและขนส่งถ่านหิน
(Coal Supply and Transportation Agreement: CSTA) กับ
Australian Coal Holdings Pty Ltd. (?ACH?) ซึ่งเป็นบริษัทใน
เครือของ Rio Tinto Ltd. แห่งประเทศออสเตรเลีย โดย ACH
มีข้อผูกพันที่จะต้องจัดหาถ่านหินในปริมาณและคุณภาพตามที่
ได้กำหนดไว้ในสัญญาให้แก่ BLCP ตลอดอายุสัญญา แม้ว่า
ACH จะมีข้อผูกพันตามสัญญา CSTA ที่จะจัดหาถ่านหินให้แก่
BLCP ทาง BLCP ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่ ACH เป็นผู้จัดจำหน่าย
เพียงรายเดียวที่จะจัดหาถ่านหินให้ BLCP ซึ่งหากเกิดภาวะขาดแคลน
ถ่านหินหรือ ACHไม่สามารถจัดหาถ่านหินที่มีคุณภาพในปริมาณตามที่
BLCP ต้องการ อาจทำให้โรงไฟฟ้าของBLCPไม่สามารถผลิตไฟฟ้า
ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ลงนามกับกฟผ.ได้
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ ACH ไม่สามารถจัดหาถ่านหินในปริมาณและ
/หรือคุณภาพตามที่ทาง BLCP ต้องการ BLCP จะสามารถสั่งซื้อถ่านหิน
จากผู้จัดจำหน่ายรายอื่นได้ โดยที่ ACH จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ของ BLCP ที่เกิดขึ้นจากการจัดซื้อถ่านหินจากแหล่งอื่น ดังนั้น
ความเสี่ยงจากการจัดซื้อถ่านหินจากผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียวของ
BLCP จึงมีค่อนข้างต่ำ
สำหรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาถ่านหินจะมีน้อยมาก
เนื่องจากตามโครงสร้างราคาขายไฟฟ้าแก่ กฟผ.
ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง BLCP และกฟผ. BLCP
สามารถผลักภาระต้นทุนถ่านหินให้กับ กฟผ. ได้ทั้งหมดเมื่อ BLCP
มีอัตราการใช้ความร้อนตามสัญญา (Contracted Heat rate)
จากการทดสอบประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าก่อนการรับโอน
โรงไฟฟ้าหน่วยที่ 1 จากผู้รับเหมาก่อสร้าง
โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่กำหนดในสัญญา PPA
ซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ที่ BLCP จะไม่สามารถผลัก
ภาระต้นทุนถ่านหินให้กับ กฟผ. ได้ จากการมีอัตราการ
ใช้ความร้อนตามสัญญาที่ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน
PPA มีไม่มากนัก นอกจากนี้ ในสัญญา CSTA
ได้มีการกำหนดการคิดราคาถ่านหินไว้ชัดเจน
* ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ
ความเสี่ยงด้านการปฎิบัติการซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ
ความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรของ
โครงการโรงไฟฟ้า BLCP ประกอบด้วย
1. ความเสี่ยงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า:
เนื่องจากตามสัญญาซื้อขายกระแสไฟฟ้าแก่ กฟผ.
ได้กำหนดประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า เช่น
ประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตไฟฟ้า
สัดส่วนระยะเวลาที่โรงไฟฟ้ามีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้า
และระยะเวลาการหยุดซ่อมนอกแผน (Unplanned Outage)
เป็นต้น หากโรงไฟฟ้า BLCP ไม่สามารถรักษาประสิทธิภาพในการผลิตไว้ได้
ก็อาจถูกปรับจากกฟผ.และมีผลกระทบกับรายได้ที่จะได้รับจาก กฟผ.
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า
และให้การบริหารโรงไฟฟ้า BLCP เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ
สอดคล้องกับเงื่อนไขของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า BLCP ได้ว่าจ้างกลุ่ม
Mitsubishi Consortium ทำการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและได้กำหนด
parameter การผลิตที่สำคัญ เพื่อให้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด
ในเงื่อนไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งได้ทำสัญญา O&M Agreement
ว่าจ้างให้บริษัท เพาเวอร์ เจนเนอเรชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด (PGS)
ซึ่งมีทีมงานซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหาร
จัดการโรงไฟฟ้าเข้าดำเนินการและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า
BLCP โดยมีการกำหนดมาตรการดำเนินงานรวมทั้งปัจจัยหลัก
ที่วัดประสิทธิภาพการดำเนินการที่สำคัญของโรงไฟฟ้า
เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพการดำเนินงาน
2. ความเสี่ยงจากต้นทุนในการดำเนินการโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น:
ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงสร้างของรายได้ได้ถูกกำหนด
ไว้ตลอดอายุของสัญญาและกำหนดให้ครอบคลุมต้นทุนคงที่และแปรผัน
ในระดับหนึ่ง หากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าไม่มีประสิทธิภาพตามที่
กำหนดและมีผลให้ต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานเพิ่มขึ้นแล้ว
จะมีผลให้ BLCP มีกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลง
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ทั้ง PGS และ BLCP จะร่วมกันจัดทำงบประมาณการดำเนินงาน
เพื่อบริหารค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานและซ่อมบำรุง
โรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความเสี่ยงจากการที่การดำเนินงานของBLCP อาจหยุดชะงัก
จากปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม:
การดำเนินงานของ BLCP อาจหยุดชะงักลงได้จากสาเหตุ
ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของBLCP เช่น การเกิดภัยธรรมชาติ
อัคคีภัย ความผิดพลาดทางเทคนิค และข้อพิพาทด้านแรงงาน
เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว ทาง BLCP จะได้จัดให้มีคู่มือการปฎิบัติงาน
การฝึกอบรม การจัดทำแผนฉุกเฉิน การทดสอบแผนงาน
เครื่องมือระบบเตือนภัย และการปฎิบัติตามคู่มืออย่างเคร่งครัด
รวมทั้ง BLCP ยังได้มีการจัดทำประกันภัยโรงไฟฟ้าที่ครอบคลุมใน
เรื่อง All Risks และ Business Interruption เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหาก
เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด BLCPจะได้รับความคุ้มครองอย่าง
เพียงพอและเหมาะสม
* ความเสี่ยงจากการที่การดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่อาจ
ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
ภายใต้เงื่อนไขในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและการปฎิบัติตามเงื่อนไข
การอนุมัติของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งได้อนุมัติรายงาน
ผลการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า BLCP แล้ว
เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2543 BLCP มีหน้าที่จะต้องปฎิบัติมาตรฐานทาง
ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้การดำเนินงานโรงไฟฟ้าก่อให้เกิดปัญหา
ผลกระทบการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม หรือความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอันอาจเกิดขึ้น
ทาง BLCP ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม
ในสัญญาการให้บริการทางด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง (EPC Contract)
กำหนดคุณภาพถ่านหินที่รับซื้อในสัญญาจัดหาและขนส่งถ่านหิน
(CSTA Agreement) รวมทั้งกำหนดเป็นดัชนีวัดประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ของโรงไฟฟ้าที่ระบุในสัญญาดำเนินงานและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า
(O&M Agreement) อีกด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการผลิตของ
โรงไฟฟ้าเป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
* ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
BLCP มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากต้นทุนการดำเนินงาน
บางส่วนของBLCP การจัดซื้อชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆของโรงไฟฟ้า
ต้นทุนถ่านหินและค่าขนส่ง รวมถึงภาระหนี้ของ BLCPบางส่วนอยู่ในรูป
ของเงินสกุลเหรียญสหรัฐ โดยถ้าหากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความผันผวน
สูงจะมีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและผลประกอบการของBLCP
หากพิจารณาผลกระทบโดยรวม การอ่อนค่าของเงินบาทในระดับหนึ่ง
เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงระหว่างเงินบาทไทยและ
เงินเหรียญสหรัฐซึ่งกำหนดใน PPA จะมีผลกระทบทางบวก
ต่อผลประกอบการของ BLCP เนื่องจากรายได้ส่วนที่อ้างอิง
กับเงินเหรียญสหรัฐจะสูงกว่าค่าใช้จ่ายที่อ้างอิงหรืออยู่ในรูปเงินสกุล
เหรียญสหรัฐ
โดยที่รายได้ในรูปของค่าความพร้อม (Availability Payments: AP)
โดยส่วนใหญ่จะได้รับการคำนวณโดยอ้างอิงกับอัตราแลก
เปลี่ยนระหว่างเงินบาทไทยกับเงินเหรียญสหรัฐ และโครงสร้างหนี้ของ
BLCPซึ่งบางส่วนอยู่ในรูปของเงินเหรียญสหรัฐได้รับการออกแบบ
และกำหนดขึ้นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับโครงสร้างค่าไฟฟ้า
ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.
* ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
ตามสัญญาเงินกู้ระยะยาวระหว่าง BLCP และสถาบันการเงิน BLCP
มีวงเงินกู้ที่อยู่ในรูปของเงินบาทไทยและเงินสกุลเหรียญสหรัฐเป็นจำนวน
22,063 ล้านบาท และ 558 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ โดยเงินกู้
ทั้งสองส่วนจะมีทั้งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่และอัตรา
ดอกเบี้ยแบบลอยตัว จึงทำให้BLCPมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
หากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม BLCP
ได้เข้าทำสัญญา Interest Rate Swap สำหรับภาระเงินกู้ทั้งหมด
ที่อยู่ในรูปของเงินสกุลเหรียญสหรัฐซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว
(Floating-Rate U.S. Dollar Denominated Debt)
เพื่อเปลี่ยนให้เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง
จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยไปได้ระดับหนึ่ง
* ความเสี่ยงจากการที่เครือ CLP Holdings Limited
ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงใน BLCP และ PGS
เนื่องจากเครือ CLP Holdings Limited เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์
ในการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าถ่านหินหลายแห่งในต่างประเทศ
และรับผิดชอบในการบริหารโครงการโรงไฟฟ้า BLCP
มาตั้งแต่เริ่มโครงการ การที่เครือ CLP Holdings Limited
จะไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงใน BLCP หลังจากการทำรายการซื้อหุ้น
ในครั้งนี้ รวมทั้งการที่ EGCOMP อาจมีการซื้อหุ้นของ
บริษัท เพาเวอร์ เจนเนอเรชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด (?PGS?)
ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการและซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า BLCP ตามสัญญา
Operation & Maintenance Agreement จากเครือ
CLP Holdings Limited อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินการ
โรงไฟฟ้า BLCP ให้เป็นไปตามแผนงานได้
(ยังมีต่อ)