EN | TH
11 พฤษภาคม 2550

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 3 เดือน ปี 2550

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน ประจำ ไตรมาสที่ 1 ปี 2550 สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2550 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและ คำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจ เปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุน ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใด กรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5131-3 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (Independent Power Producer) ซึ่งมีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,509 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่และเล็กรวมทั้งสิ้น 15 โรง โดย กลุ่ม บผฟ. ได้เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งผลกำไรจากบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (บีแอลซีพี) กำลังการผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 ตั้งแต่ มกราคม 2550 เป็นต้นไป สำหรับโครงการขยายกำลังผลิตที่อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (เอพีบีพี) กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิดพลังงานความร้อนร่วม ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 และ โครงการแก่งคอย 2 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิดพลังความร้อน ได้เริ่มเดินเครื่อง เชิงพาณิชย์โรงที่ 1 กำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. ในไตรมาสที่ 1 ปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 468 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในปี 2550 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 2,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 792 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47 สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจาก - บผฟ. มีกำไรลดลง 153 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 45 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ลดลงทั้งสิ้น 44 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้อื่นๆและเงินปันผลรับลดลง ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการบริหาร ที่เพิ่มขึ้น 88 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้ยืม ระยะสั้นที่เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) และ บีแอลซีพี มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 2,095 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 632 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ผลการดำเนินงาน ของ บีแอลซีพี ตั้งแต่เดือน มกราคม 2550 - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) บริษัท ทีแอลพี โคเจเนอเรชั่น จำกัด (ทีแอลพี โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 409 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 411 ล้านบาท จากกำไรสุทธิของ จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น จากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายได้ค่าชดเชยสำหรับ ความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจากผู้รับเหมาก่อสร้าง - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีผลขาดทุนสุทธิรวมทั้งสิ้น 68 ล้านบาท ลดลง 89 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากส่วนแบ่งผลขาดทุนจาก เอ็นทีพีซี จำนวน 79 ล้านบาท เนื่องจาก ผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนโคแนลมีกำไรสุทธิ 10 ล้านบาท ลดลง 33 ล้านบาท เนื่องจาก รายได้ค่าไฟที่ลดลงจากการโอนโรงไฟฟ้าของบริษัท นอร์ธเทิร์น มินดาเนา เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (เอ็นเอ็มพีซี) ให้กับ National Power Corporation (เอ็นพีซี) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) และบริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิสจำกัด (อเมสโก) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 83 ล้านบาท ลดลง 10 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรายได้ค่าบริการ ที่ลดลงของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่างๆ บผฟ. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า "เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจร และครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนด้วย ความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม" บผฟ.ดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศ อาเซียน โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการบริหาร จัดการโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดี ในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ณ เดือนเมษายน 2550 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 27,788.5 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งประมาณร้อยละ 12.63 ของกำลังผลิตนี้มาจากกำลังผลิตในกลุ่ม บผฟ. โดยในช่วง ปี 2550 ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้น ณ วันที่ 24 เมษายน 2550 ที่ 22,586.1 เมกะวัตต์ /1 คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 7.23 เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือน พฤษภาคมของปี 2549 /1 ที่มา: กฟผ. ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายในเดือนมิถุนายน 2550 เพื่อพิจารณาแนวทางการออกประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้า จากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ หรือ ไอพีพี โดยจำนวนที่จะรับซื้อนั้นจะสอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิต ไฟฟ้า ซึ่ง กพช. ได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว โดยคาดว่าในเบื้องต้นจะแบ่งการรับซื้อออกเป็น 2 ช่วง ช่วงที่หนึ่ง ประกาศรับซื้อกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้า ระบบภายในปี พ.ศ. 2555-2557 ช่วงที่สอง ประกาศรับซื้อกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จำนวน 4,200 เมกะวัตต์ ในช่วงปี พ.ศ. 2558-2560 ส่วนจะเป็นเชื้อเพลิงชนิดใดนั้นขึ้นอยู่กับภาคเอกชนที่จะเสนอโครงการเข้ามาให้พิจารณา ขณะนี้ บผฟ. ได้เตรียมความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลดังกล่าว โดยอาศัยกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ภายใต้ การร่วมมือ ตลอดจนประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของบุคลากรภายในองค์กรที่มีมาตลอดระยะเวลา 15 ปี เพื่อเตรียมการดังกล่าว ณ ปัจจุบัน บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,509 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 15 โรง โดยกำลังการผลิตติดตั้งส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โรงไฟฟ้า ดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งสอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 59 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. นอกจากนี้ บผฟ. มีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี (BLCP) กำลังการผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 เป็นสัดส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวน 717 เมกะวัตต์ หรือร้อยละ 20 ของกำลังการผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ใน นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยใช้ถ่านหินคุณภาพดีนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย เป็นเชื้อเพลิง ทั้งนี้ยังมีโครงการที่เพิ่งแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย คือ โครงการขยาย กำลังการผลิตที่ เอพีบีพี และ โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งในส่วนการ ถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 375 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ในจีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการคือ บริษัทกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น (จีพีจี) ร้อยละ 99.99) ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี กำลังผลิตรวม 1,468 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โครงการนี้ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ โรงที่ 1 ซึ่งมีกำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 2. โครงการขยายกำลังการผลิตที่ อมตะ เพาเวอร์ บางปะกง (เอพีบีพี) (บผฟ. ถือหุ้น ร้อยละ 50 ในบริษัท เอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน เอพีบีพี ร้อยละ 30 โดยมีผู้ร่วมทุนอีกราย คือบริษัท เชฟรอน บางปะกง เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Chevron Corporation of the USA) กำลังการผลิต 55 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับลูกค้าภายในนิคม อุตสาหกรรมอมตะนคร โครงการนี้ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 และได้เริ่ม เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 นอกเหนือจากนั้น บริษัทกำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอีก 2 โครงการ ซึ่งคิดเป็นกำลัง การผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 643 เมกะวัตต์ ได้แก่ 1. โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 2 กำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ โครงการนี้มีกำหนดเริ่มเดินเครื่อง เชิงพาณิชย์ ในเดือน มีนาคม 2551 ขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จไปประมาณ ร้อยละ 93.2 2. โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ มีกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญา ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้กับรัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 48.2 ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นใน อัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่าง สม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญ 3.รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัทดำเนิน ธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือ เงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้าง ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถในการระดม เงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 กลุ่มบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี 2 รายการดังนี้ 1. มาตรฐานการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียใน กิจการร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะกิจการ ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีฉบับที่ 26/2549 ลงวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 และฉบับที่ 32/2549 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ได้มีการแก้ไขมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 เรื่องงบการเงินรวมและการบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและฉบับที่ 45 เรื่องการบัญชีสำหรับ เงินลงทุนในบริษัทร่วม โดยกำหนดให้เปลี่ยนวิธีการบัญชีจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนสำหรับ เงินลงทุนในบริษัทย่อยและบริษัทร่วม ที่แสดงไว้ในงบการเงินเฉพาะกิจการ ตามวิธีราคาทุน รายได้ จากเงินลงทุนจะรับรู้เมื่อมีการประกาศจ่ายเงินปันผล ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป ทั้งนี้กลุ่มบริษัทได้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันสำหรับส่วนได้เสียใน กิจการร่วมค้าที่แสดงในงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยกลุ่มบริษัทเริ่มใช้วิธีราคาทุนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 และ ได้ปรับปรุงงบการเงินที่แสดงเปรียบเทียบย้อนหลังด้วย จากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะ กิจการไม่เท่ากับกำไรสุทธิในงบการเงินรวม โดยในไตรมาส 1 ของปี 2550 สิ้นสุด ณ 31 มีนาคม 2550 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิจำนวน 2,538 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.82 บาทต่อหุ้น งบการเงินเฉพาะมีกำไรสุทธิ 2,407 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.57 บาทต่อหุ้น ผลแตกต่างของ กำไรสุทธิจากงบการเงินทั้งสองดังกล่าวมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุน ในบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะ โดยที่กำไรสุทธิในงบการเงินรวมได้รวมผลการ ดำเนินงานของบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการถือหุ้น ในขณะที่กำไรสุทธิในงบการเงิน เฉพาะจะรับรู้เฉพาะผลการดำเนินงานของ บผฟ. และรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทย่อยและ กิจการร่วมค้าก็ต่อเมื่อบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าประกาศจ่ายเงินปันผลเท่านั้น และในกรณีนี้ บผฟ. มีกำไรจากการดำเนินงาน 35 ล้านบาท และ บริษัทย่อยได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับ บผฟ. จำนวน 2,372 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชี ที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินเฉพาะกิจการ เท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวมแต่อย่างใด 2. มาตรฐานการบัญชีสำหรับการบันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินรวม เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550 กลุ่มบริษัทได้เปลี่ยนนโยบายการบัญชีสำหรับการ บันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าในงบการเงินรวมจากวิธีรวมตามสัดส่วนเป็นวิธีส่วนได้เสีย เนื่องจากกลุ่มบริษัทพิจารณาและเห็นว่าการบันทึกส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าโดยวิธีส่วนได้เสีย ในงบการเงินรวมจะสะท้อนถึงลักษณะธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ผู้ใช้ งบการเงินเข้าใจถึงลักษณะและการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ส่วนได้เสียใน กิจการร่วมค้าของกลุ่มบริษัทส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ดังนั้นเงินทุนส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ยืม ซึ่งโดยปกติแล้วเงินกู้ยืม ของกิจการร่วมค้าจะค้ำประกันโดยสินทรัพย์ของกิจการร่วมค้าเองและไม่มีผลผูกพันต่อผู้ร่วมทุน กลุ่มบริษัทใช้วิธีปรับย้อนหลังสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีดังกล่าว ทั้งนี้ งบดุลรวม ณ 31 ธันวาคม 2549 และงบกำไรขาดทุนรวมสำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุด 31 มีนาคม 2549 ได้มีการปรับใหม่เพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ และผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ดังกล่าวทำให้ กลุ่ม บผฟ. รับรู้ส่วนได้เสียจาก กิจการร่วมค้า 7 บริษัท คือ บีแอลซีพี จีอีซี เอพีบีพี เออีพี โคแนล เอ็นทีพีซี และอเมสโก ฝ่ายบริหารจึงขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และ ส่วนได้เสีย ในกิจการร่วมค้า เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิของกลุ่ม บผฟ. ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2550 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 468 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 23 เมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น 1,591 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจาก บีแอลซีพี และ จีอีซี โดยมีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,392 ล้านบาท ลดลง 908 ล้านบาท หรือร้อยละ 39 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟร. และ บฟข. ที่ลดลงจาก อัตราค่าไฟซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,400 ล้านบาท ลดลง 1,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 50 เนื่องจากรายได้ค่าไฟฟ้า กำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยรับที่ลดลง หน่วย:ล้านบาท กำไรสุทธิ Q1'50 กำไรสุทธิ Q1'49 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. (45) (45) 108 108 กลุ่มธุรกิจไอพีพี 2,095 2,130 1,463 1,779 กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 409 439 (3) 71 กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ (68) (68) 21 21 กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 83 82 93 92 หมายเหตุ:-ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. บีแอลซีพี - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา อเมสโก ในไตรมาส 1 ปี 2550 กลุ่ม บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 64 ล้านบาท เมื่อ เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 ซึ่ง กลุ่ม บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 388 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 64 ล้านบาทเป็นตัวเลข ทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้ คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวด ของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 มีนาคม 2550) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2549) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ในไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 2,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 จำนวน 792 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 47 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 64 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 191 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 163 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่างๆ จำนวน 528 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ. ในไตรมาส 1 ปี 2550 จะเป็นจำนวน 3,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 531 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 จำนวน 2,824 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 388 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 337 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 286 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 520 ล้านบาท อัตราส่วนแสดงความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) มีดังนี้ - อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 50.54 - อัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับร้อยละ 50.86 - อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 56.98 - อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 55.53 - กำไรสุทธิ ต่อหุ้น เท่ากับ 4.82 บาท - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ต่อหุ้น เท่ากับ 4.70 บาท - อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเท่ากับร้อยละ 6.93 อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 50.54 นั้นต่ำกว่าไตรมาส 1 ปี 2549 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 62.66 ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับร้อยละ 55.53 นั้นสูงกว่าไตรมาส 1 ปี 2549 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 43.32 สาเหตุหลักจากการรับรู้ผลการดำเนินงาน ของ บีแอลซีพี เป็นส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้า ประกอบกับ รายได้อื่นๆของ จีอีซี เพิ่มขึ้น ในขณะที่ กำไรสุทธิของ บฟร. และ บฟข. ลดลง เนื่องจากรายได้ค่าไฟที่ลดลง 3.2 การวิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่าย ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2550 (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและ กำไรสุทธิของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย) รายได้รวมของ บผฟ. บริษัทย่อย ส่วนแบ่งผลกำไรใน ส่วนได้เสีย ในกิจการร่วมค้า มีจำนวนทั้งสิ้น 4,455 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 เพิ่มขึ้นจำนวน 574 ล้านบาท หรือร้อยละ 15 ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย มีจำนวน รวมทั้งสิ้น 1,940 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 210 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10 โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจ ดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายรวม หน่วย : ล้านบาท บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 รายได้รวม 113 157 3,265 2,904 888 463 ค่าใช้จ่ายรวม 158 50 1,170 1,441 449 424 ต่างประเทศ อื่นๆ รวม Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 รายได้รวม (68) 21 257 336 4,455 3,881 ค่าใช้จ่ายรวม - - 163 234 1,940 2,149 1) บผฟ. มีรายได้ในไตรมาส 1 ปี 2550 รวมจำนวน 113 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงิน 82 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 23 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ 8 ล้านบาท ทั้งนี้ รายได้รวมของ บผฟ. ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2549 ทั้งสิ้น 44 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 สาเหตุหลักมาจากเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงินซึ่งเป็นรายได้หลักของ บผฟ. ลดลงทั้งสิ้น 18 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 สาเหตุการลดลงมาจากเงินปันผลรับจากกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น ผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) ลดลง 65 ล้านบาท ในขณะที่เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการ และพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เพิ่มขึ้น 31 ล้านบาท เงินปันผลรับจากกองทุนเปิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 16 ล้านบาท สำหรับรายได้อื่นๆลดลง 16 ล้านบาท หรือร้อยละ 68 เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2550 มีการรับรู้รายได้จากค่า Internal Development Cost ของโครงการน้ำเทิน 2 จำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตาม Shareholder's Agreement ในขณะที่ ไตรมาส 1 ปี 2549 รับรู้รายได้จำนวน 13 ล้านบาท สำหรับดอกเบี้ยรับลดลง 10 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและจำนวนเงินฝากที่ลดลง ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109 ล้านบาท หรือร้อยละ 220 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2549 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ และ ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 20 ล้านบาทสำหรับเงินกู้ยืมระยะสั้น ซึ่งได้เริ่มเบิกเงินกู้งวดแรก จากธนาคารพาณิชย์ไทย 2 แห่ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. บฟข. และ บีแอลซีพี มีรายได้และส่วนแบ่งกำไรใน ส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้ารวมทั้งสิ้น 3,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 361 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 และมีค่าใช้จ่าย จำนวน 1,170 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลา เดียวกัน ปีก่อน 272 ล้านบาท หรือร้อยละ 19 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 รายได้รวม 901 1,432 1,090 1,471 ค่าใช้จ่ายรวม 561 709 608 733 บีแอลซีพี รวม Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 1,274 - 3,265 2,904 12% ค่าใช้จ่ายรวม - - 1,170 1,441 (19%) - รายได้ค่าไฟของกลุ่ม จำนวนรวม 1,954 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 855 ล้านบาท หรือร้อยละ 30 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 891 ล้านบาท ลดลง 479 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Capacity Rate) ที่ลดลง และ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 1,063 ล้านบาท ลดลง 376 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่ลดลง ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ "Cost Plus" หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 891 1,370 (35%) บฟข. 1,063 1,439 (26%) รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 1,954 2,809 (30%) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม เงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะ ได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก ที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจาก บริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 114 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2550 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 36 ล้านบาท ลดลง 58 ล้านบาท หรือร้อยละ 62 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่ลดลงจำนวน 50 ล้านบาท จากจำนวน เงินฝากที่ลดลงเนื่องจากการลดทุนใน บฟร. ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ บฟร. ได้ทำการลดทุนจดทะเบียนจากเดิม 9,220 ล้านบาท เป็น 4,702 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 2549 (ยังมีต่อ)