11 พฤษภาคม 2550
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 3 เดือน ปี 2550
สำหรับดอกเบี้ยรับของ บฟข. ลดลง 6 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง อีกทั้งรายได้อื่นๆ
ของ บฟร. และ บฟข. ลดลง 3 ล้านบาท
- ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้า คือ บีแอลซีพี จำนวน 1,274 ล้านบาท
โดย บผฟ. ได้เริ่มบันทึกผลการดำเนินงานโดยวิธีส่วนได้เสีย ในอัตราส่วนร้อยละ 50 ตั้งแต่
เดือนมกราคม 2550 เป็นต้นไป
- ต้นทุนขาย จำนวน 816 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 ทั้งสิ้น 39
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 5 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายของ บฟร. ที่เพิ่มขึ้น 65 ล้านบาท คิดเป็น
ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2549 เนื่องจากค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากการสั่งเดินเครื่อง
และหยุดเครื่องตามคำสั่งของ กฟผ. ประกอบกับค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นไปตาม
ตารางการซ่อมบำรุง ในขณะที่ บฟข. มีต้นทุนขายลดลง 26 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 เมื่อ
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2549 เนื่องจากใน ไตรมาส 1 ปี 2549 บฟข.มีงานซ่อมบำรุงรักษาหลัก
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 484 419 15%
บฟข. 332 358 (7%)
รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 816 777 5%
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 207 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ปีก่อน จำนวน 149 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 42 สาเหตุหลักจากภาษีเงินได้ของ บฟร. และ บฟข.
ที่ลดลง เนื่องจากรายได้ลดลง ปัจจุบัน บฟร. และ บฟข. ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ
กำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนผลิตไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด
ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 และ วันที่ 25 กันยายน 2552 ตามลำดับ
- ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 147 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน
162 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 52 เนื่องจาก บฟร. ได้ชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ทั้งหมดเมื่อเดือน
ธันวาคม 2549 และ บฟข. มีจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง
3) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี เออีพี เอพีบีพี ทีแอลพี โคเจน
และ ร้อยเอ็ด กรีน ในไตรมาส 1 ปี 2550 มีรายได้ ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า
รวมทั้งสิ้น 888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 425 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 92
และมีค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 449 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 28 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 7 โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน จีอีซี
Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49
รายได้รวม 494 466 68 78 315 (141)
ค่าใช้จ่ายรวม 415 390 34 34 - -
เอพีบีพี และ เออีพี รวม
Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 10 60 888 463 92%
ค่าใช้จ่ายรวม - - 449 424 6%
- รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง
เวลาเดียวกันปี 2549 จำนวน 18 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 รายได้ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจาก
ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ.เพิ่มขึ้นเนื่องจาก
อัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้น และรายได้ค่าไฟที่จำหน่ายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่
ร้อยเอ็ด กรีนมีรายได้ลดลง 9 ล้านบาท จากค่าพลังไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่ลดลงซึ่ง
สัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง
ทีแอลพี โคเจน 489 462 6%
ร้อยเอ็ด กรีน 59 68 (13%)
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 548 530 3%
- รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท
หรือร้อยละ 9 ส่วนใหญ่จากดอกเบี้ยรับของ ทีแอลพีโคเจน ที่เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท
- ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ จีอีซี เอพีบีพี และ เออีพี จำนวนรวม
325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 406 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2549 โดยส่วนใหญ่เป็น
ส่วนแบ่งกำไรจาก จีอีซี จำนวน 315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 456 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากผลกำไร
จากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจำนวน 191 ล้านบาท ประกอบกับ รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น 122 ล้านบาท
เนื่องจากได้รับเงินค่าชดเชยจากผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
(Liquidated Damages) ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาก่อสร้างโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1
นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งผลกำไรจาก เอพีบีพีและเออีพี จำนวน 10 ล้านบาท ลดลง 50
ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 ปี 2549 สาเหตุหลักมาจากค่าบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นและรายได้
ค่าไฟฟ้าที่ขายให้กับ กฟผ. ที่ลดลงของเออีพี
- ต้นทุนขาย จำนวน 419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน 27 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 7 สาเหตุหลักจากต้นทุนขายของ ทีแอลพี โคเจน เพิ่มขึ้น 26 ล้านบาท เนื่องจาก
ปริมาณการใช้และราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 1 ล้านบาท เช่นกัน
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท
Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง
ทีแอลพี โคเจน 388 363 7%
ร้อยเอ็ด กรีน 31 30 4%
รวมต้นทุนขาย-เอสพีพี 419 392 7%
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อนจำนวน 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 29
- ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 24 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของ ปี 2549 จำนวน
3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 เนื่องจาก ดอกเบี้ยจ่ายของ ทีแอลพี โคเจน ลดลง 3 ล้านบาท
เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลง
4) กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล และ เอ็นทีพีซี มีส่วนแบ่ง
ผลขาดทุนจากส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 68 ล้านบาท โดยกำไรลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 89 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนแบ่งผลกำไรจาก โคแนล จำนวน 10 ล้านบาท
ลดลง 33 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากการโอนโรงไฟฟ้าจำนวน 40
เมกะวัตต์ ของ เอ็นเอ็มพีซี ให้แก่ เอ็นพีซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่
กำหนดไว้ สำหรับ เอ็นทีพีซี มีส่วนแบ่งผลขาดทุน จำนวน 79 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนที่เพิ่มขึ้น
56 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากผลขาดทุนจาก
อัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 68 ล้านบาท
5) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ เอสโก และ เอ็กคอมธารา และ
กิจการร่วมค้า 1 แห่ง คือ อเมสโก มีรายได้รวมทั้งสิ้น 257 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2549
จำนวน 79 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24 และมีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 163 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลา
เดียวกันของปีก่อน จำนวน 72 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้และค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย: ล้านบาท
เอสโก เอ็กคอมธารา รวม
Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 Q1'50 Q1'49 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 200 290 57 46 257 336 (24%)
ค่าใช้จ่ายรวม 144 220 19 15 163 234 (31%)
- รายได้ค่าบริการของเอสโก จำนวน 197 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน
88 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31 สาเหตุหลักจากการขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิตไฟฟ้าระหว่างเอสโก
กับ โรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน ลดลง
- รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2549 จำนวน
10 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21 เนื่องจากปริมาณน้ำประปาขั้นต่ำ (Minimum Take) และอัตราค่าน้ำ
ที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาระยะยาวกับการประปาส่วนภูมิภาค
- รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.19 ล้านบาท หรือ
คิดเป็นร้อยละ 4 ส่วนใหญ่มาจากดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นของ เอ็กคอมธารา 1.43 ล้านบาท และเอสโก
0.47 ล้านบาท ในขณะที่รายได้อื่นๆของเอสโก ลดลง 1.72 ล้านบาท
- ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ของเอสโก จำนวน 1 ล้านบาท ลดลง 0.50
ล้านบาท จาก อเมสโก
- ต้นทุนบริการ จำนวน 109 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2549 จำนวน 78 ล้านบาท
หรือร้อยละ 42 เป็นผลมาจากการลดลงของต้นทุนขายอุปกรณ์เครื่องจักรของ เอสโก ซึ่งสอดคล้องกับ
รายได้ที่ลดลง
- ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 4
ล้านบาท หรือ ร้อยละ 29 เนื่องจากค่าจ้างผลิตน้ำประปาและบำรุงรักษาระบบผลิตและท่อส่งน้ำประปา
ของเอ็กคอมธาราเพิ่มขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของ
ปีก่อน จำนวน 3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารของเอสโกที่เพิ่มขึ้น 8
ล้านบาท ในขณะที่ ภาษีเงินได้ของเอสโกลดลง 6 ล้านบาทจากรายได้ที่ลดลง
4. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
4.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 บผฟ. บริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์
รวมจำนวน 52,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,857 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2549
โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด
ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 6,048 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของสินทรัพย์รวม
ลดลง 2,729 ล้านบาท หรือร้อยละ 31 สาเหตุหลักจาก เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง
2,633 ล้านบาท เนื่องจากการชำระเงินลงทุนในส่วนที่ บผฟ. ยังไม่ได้ชำระจากการลงทุนในกิจการ
ร่วมค้า บีแอลซีพี ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CLP Holdings
Limited จำนวน 4,645 ล้านบาท และ บผฟ.ได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3,293 ล้านบาท ให้กับ
บีแอลซีพี และ จีอีซี ในขณะที่ บผฟ.ได้เบิกเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารพาณิชย์ไทย จำนวน
4,350 ล้านบาท
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 2,697 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 สาเหตุหลัก
จากการทยอยสำรองเงินไว้เพื่อชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดชำระคืนของ บฟข.
3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสียตามงบการเงินรวม มีมูลค่าตามบัญชี
เท่ากับ 17,265 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 33 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 4,887 ล้านบาท
หรือร้อยละ 39 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่
3.1) มีการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3,293 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น จีอีซี จำนวน 1,043
ล้านบาทและบีแอลซีพี จำนวน 2,250 ล้านบาท
3.2) มีการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย จำนวน 1,594 ล้านบาท
สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม
เป็นราคาเริ่มต้น ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท มีมูลค่าตามบัญชี ณ ไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 เท่ากับ
27,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,293 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 ซึ่งเป็นผลมาจาก บผฟ. มีการลงทุนเพิ่มใน
กิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่ จีอีซี และ บีแอลซีพี
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์สุทธิ จำนวน 19,756 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 ของ
สินทรัพย์รวม ลดลงสุทธิทั้งสิ้น 383 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 สินทรัพย์ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก
การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 522 ล้านบาท และ
การโอนวัสดุสำรองหลักที่ไม่ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ บฟร. จำนวน 63 ล้านบาท
ในขณะที่มีการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาของ บฟร.
จำนวน 139 ล้านบาท
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 6,551 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13 ของสินทรัพย์รวม
ลดลง 315 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 สาเหตุหลักเนื่องจากลูกหนี้การค้ากิจการที่เกี่ยวข้องกัน
(ค่าไฟฟ้าจาก กฟผ.) ลดลง 245 ล้านบาท และวัสดุสำรองคลังสุทธิลดลง 90 ล้านบาท
4.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 13,915 ล้านบาท ลดลง
627 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1) เงินกู้ยืมระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31 ของหนี้สินรวม
โดย บผฟ. ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ระยะสั้นกับธนาคารพาณิชย์ไทย 2 แห่ง โดยมีวงเงินกู้ยืม
แห่งละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 และเริ่มเบิกเงินกู้งวดแรกในวันที่
29 มกราคม 2550 โดยมีกำหนดชำระคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด 1 ปี จากวันที่ลงนามในสัญญา
2) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 7,350 ล้านบาท หรือร้อยละ 53 ของหนี้สินรวม
ลดลง 163 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 921 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 753 ล้านบาท
- หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 3,609 ล้านบาท
กำหนดชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 หน่วย: ล้านบาท
กำหนดชำระคืน บฟข. ทีแอลพี โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
ภายใน 1 ปี 1,983 148 29
1-5 ปี 3,623 934 120
เกินกว่า 5 ปี - 389 124
รวม 5,606 1,471 273
ทั้งนี้เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ค้ำประกันโดยการจำนองที่ดิน อาคาร โรงไฟฟ้า
และเครื่องจักร และได้กันเงินสำรองเพื่อการชำระคืนเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด
ชำระคืนภายใน 1 ปี และเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,215 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 ของหนี้สินรวม ลดลง 4,813
ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจาก บผฟ. ได้ชำระเงินลงทุนในส่วนที่ยังค้างชำระ จำนวน 4,645
ล้านบาท ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. เพื่อแลกกับการโอนหุ้นบีแอลซีพีในวันที่
30 มกราคม 2550 และเจ้าหนี้การค้าลดลง 264 ล้านบาท ในขณะที่ดอกเบี้ยค้างจ่ายเพิ่มขึ้น
129 ล้านบาท และภาษีเงินได้ค้างจ่ายเพิ่มขึ้น 95 ล้านบาท
4.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 38,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
จากสิ้นปี 2549 จำนวน 2,483 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7 เนื่องจากปัจจัยหลักคือ กำไรสุทธิ
จากผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม จำนวน 2,538 ล้านบาท
จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 สรุปได้ดังนี้
ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 38,403 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73.40
หนี้สิน จำนวน 13,915 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.60
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.36 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2549 ซึ่งเท่ากับ 0.40 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 71.91 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2549
ซึ่งอยู่ที่ระดับ 67.26 บาท
5. รายงานการวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน
และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด ณ
วันที่ 31 มีนาคม 2550 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ มีจำนวน 2,969 ล้านบาท ลดลงจาก
สิ้นปี 2549 ทั้งสิ้น 2,633 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไปของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 1,031 ล้านบาท มาจากเงินสด
ที่ได้มาจากการดำเนินงาน 1,433 ล้านบาท และ เงินทุนหมุนเวียนที่ลดลง 402 ล้านบาท
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปสำหรับกิจกรรมลงทุน จำนวน 7,922 ล้านบาท โดย บผฟ. ได้จ่าย
เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่ จีอีซี 1,043 ล้านบาท และบีแอลซีพี 2,250 ล้านบาท
และชำระเงินลงทุนในบีแอลซีพี ส่วนที่ยังไม่ได้ชำระ 4,645 ล้านบาท ในขณะที่ได้รับเงินปันผลจาก
อีสท์ วอเตอร์ และกองทุนเปิดอื่นๆ จำนวน 61 ล้านบาท และ 21 ล้านบาท ตามลำดับ
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 4,258 ล้านบาท เนื่องจาก บผฟ.
ได้มีการเบิกเงินกู้ยืมระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท ในขณะที่มีการชำระคืนเงินกู้ ของ ทีแอลพี โคเจน
และ ร้อยเอ็ด กรีน รวมทั้งสิ้น 92 ล้านบาท
ในไตรมาสที่ 1 ของ ปี 2550 บผฟ. มีอัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) ที่สำคัญดังนี้
- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 1.48 เท่า เทียบกับปี 2549 ซึ่งเท่ากับ
1.68 เท่า
- อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio) อยู่ที่ 0.96 เท่า เทียบกับปี 2549
ซึ่งเท่ากับ 1.18 เท่า
สาเหตุที่อัตราส่วนทั้งสองลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในจีอีซี และบีแอลซีพีจำนวน
3,293 ล้านบาท และการชำระเงินค่าหุ้นบีแอลซีพี จำนวน 4,645 ล้านบาท ให้แก่ CLP Power (BLCP)
Ltd.ในขณะที่มีการกู้ยืมเงินกู้ระยะสั้น จำนวน 4,350 ล้านบาท