EN | TH
19 กุมภาพันธ์ 2551

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ประจำปี 2550

1) บผฟ. มีรายได้ในปี 2550 รวมจำนวน 497 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับ จากการลงทุนทางการเงิน 134 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 63 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ 301 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ทั้งสิ้น 98 ล้านบาท หรือร้อยละ 24 สาเหตุหลักมาจากรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น 243 ล้านบาท จากกำไรจาก การขายกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นผสมตราสารหนี้ปันผล (เคทีเอสเอฟ) จำนวน 258 ล้านบาท ในขณะที่ดอกเบี้ยรับลดลง 111 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64 เนื่องจากอัตรา ดอกเบี้ยและจำนวนเงินฝากที่ลดลง ประกอบกับเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน ลดลงทั้งสิ้น 34 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 สาเหตุการลดลงมาจากเงินปันผลรับจาก เคทีเอสเอฟ ลดลง 78 ล้านบาท ขณะที่เงินปันผลรับจากบริษัทจัดการและพัฒนา ทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เพิ่มขึ้น จำนวน 31 ล้านบาท และเงินปันผลรับจากกองทุนเปิดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 891 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 387 ล้านบาท หรือร้อยละ 77 เมื่อเทียบกับปี 2549 สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น 186 ล้านบาท ซึ่งเกิดจาก เงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 4,350 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มเบิกเงินกู้งวดแรก จากธนาคารพาณิชย์ ไทย 2 แห่ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 และได้ชำระคืนแล้วเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 นอกจากนั้นยังมีค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ (Re-branding) ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ค่าที่ปรึกษาที่เพิ่มขึ้น 2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. บฟข. บีแอลซีพี และ จีพีจี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 7,910 ล้านบาท ลดลง 3,142 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับปี 2549 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 4,813 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 1,321 ล้านบาท หรือร้อยละ 22 และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสีย ในกิจการร่วมค้า จำนวน 4,638 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 728 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้น 4,690 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งมีส่วนแบ่งผลขาดทุน จำนวน 52 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้าของกลุ่มธุรกิจไอพีพี หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. บีแอลซีพี 2550 2549 2550 2549 2550 2549 รายได้รวม 3,599 5,630 4,311 5,422 - - ค่าใช้จ่ายรวม 2,183 2,947 2,630 3,187 - - กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 1,416 2,683 1,681 2,235 - - ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - - - 3,907 - กำไรสุทธิก่อน Fx ของบริษัทย่อย และ MI 1,416 2,683 1,681 2,235 3,907 - จีพีจี รวม 2550 2549 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม - - 7,910 11,053 (28%) ค่าใช้จ่ายรวม - - 4,813 6,134 (22%) กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - 3,097 4,919 (37%) ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 731 (52) 4,638 (52) n.a. กำไรสุทธิก่อน Fx ของบริษัทย่อย และ MI 731 (52) 7,735 4,866 59% - รายได้ค่าไฟของกลุ่ม จำนวนรวม 7,809 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 2,856 ล้านบาท หรือร้อยละ 27 โดยแบ่งเป็นรายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 3,574 ล้านบาท ลดลง 1,818 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Capacity Rate) ที่ลดลง โดยบางส่วนเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทั้งนี้เพื่อ ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บฟร. ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนรายได้ล่วงหน้า กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่จะใช้ในการแปลงรายได้ตามสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ผูกกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมาเป็นเงินบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 รายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า จำนวน 47.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตรา แลกเปลี่ยนคงที่ตามสัญญาเท่ากับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับตั้งแต่ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2553 นอกจากนี้ รายได้ค่าไฟ บฟข. จำนวน 4,235 ล้านบาท ลดลง 1,038 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟ (Base Availability Credit) ที่ลดลง โดยบางส่วนเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ ?Cost Plus? หรือต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่มที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 3,574 5,392 (34%) บฟข. 4,235 5,273 (20%) รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 7,809 10,665 (27%) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับ การชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยน เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลง เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายได้ค่าไฟฟ้าจาก บริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 393 ล้านบาท สำหรับปี 2550 - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 101 ล้านบาท ลดลง 287 ล้านบาท หรือร้อยละ 74 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟร. ที่ลดลงจำนวน 211 ล้านบาท จากจำนวน เงินฝากที่ลดลงเนื่องจากการลดทุนใน บฟร. ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ บฟร. ได้ ทำการลดทุนจดทะเบียนจากเดิม 9,220 ล้านบาท เป็น 4,702 ล้านบาท เมื่อเดือนธันวาคม 2549 สำหรับดอกเบี้ยรับของ บฟข. ลดลง 75 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง - ต้นทุนขาย จำนวน 3,433 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 ทั้งสิ้น 120 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายของ บฟข. ในปี 2550 ลดลง 223 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 เนื่องจากในปี 2549 มีค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมบำรุงรักษาหลัก ในขณะที่ บฟร. มีต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 103 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 เนื่องจาก บฟร. มีการซ่อมบำรุงรักษาหลักในปี 2550 ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 1,841 1,738 6% บฟข. 1,592 1,815 (12%) รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 3,433 3,553 (3%) - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 841 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 685 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 45 สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายในบริหารงานทั่วไปของ บฟร. ลดลง 207 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63 เกิดจากค่าใช้จ่ายสำหรับการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวก่อนครบ กำหนดที่เกิดขึ้นในปี 2549 และภาษีเงินได้ของ บฟร. และ บฟข. ที่ลดลง จำนวน 507 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ลดลง ปัจจุบัน บฟร. และ บฟข. ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ กำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนผลิตไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจะสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 และ วันที่ 25 กันยายน 2552 ตามลำดับ - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 539 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 515 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 49 เนื่องจาก บฟร. ได้ชำระคืนเงินกู้และหุ้นกู้ทั้งหมดที่มีกับสถาบันการเงินเมื่อเดือน ธันวาคม 2549 และ บฟข. มีจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง - ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ บีแอลซีพี และ จีพีจี จำนวน 4,638 ล้านบาท โดย บผฟ. ได้เริ่มบันทึกผลการดำเนินงานโดยวิธีส่วนได้เสียของบีแอลซีพี ตั้งแต่เดือน มกราคม 2550 เป็นจำนวน 3,907 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 591 ล้านบาท และจีพีจี เริ่มมีกำไรสุทธิจำนวน 731 ล้านบาท ซึ่งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 137 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ค่าไฟฟ้าจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงที่ 1 ของโครงการแก่งคอย 2 เมื่อเดือน พฤษภาคม 2550 และรายได้อื่นๆจากเงินค่าชดเชยจากผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับความล่าช้า ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า (Liquidated Damages) ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาก่อสร้าง โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 3) กลุ่มธุรกิจเอสพีพี ประกอบด้วย 5 บริษัท คือ จีอีซี (ไม่รวม จีพีจี) เออีพี เอพีบีพี เอ็กโก โคเจน และ ร้อยเอ็ด กรีน ในปี 2550 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,186 ล้านบาท ลดลง จากปี 2549 จำนวน 45 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 ค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 1,822 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 จำนวน 31 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสีย ในกิจการร่วมค้า 608 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 360 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 483 ล้านบาท หรือร้อยละ 386 โดยมีรายละเอียดดังนี้ รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย: ล้านบาท เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน จีอีซี(ไม่รวม จีพีจี) 2550 2549 2550 2549 2550 2549 รายได้รวม 1,944 1,985 242 246 - - ค่าใช้จ่ายรวม 1,670 1,648 152 143 - - กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 274 337 90 103 - - ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - - - 497 0.75 กำไรสุทธิก่อน Fx ของบริษัทย่อย และ MI 274 337 90 103 497 0.75 เอพีบีพี และ เออีพี รวม 2550 2549 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม - - 2,186 2,231 (2%) ค่าใช้จ่ายรวม - - 1,822 1,791 2% กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 364 440 (17%) ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 111 124 608 125 386% กำไรสุทธิก่อน Fx ของบริษัทย่อย และ MI 111 124 972 565 72% - รายได้ค่าไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 2,152 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 42 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 รายได้ค่าไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ลดลงมาจาก เอ็กโก โคเจน จำนวน 36 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ขายให้ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมลดลง และรายได้ ค่าไฟฟ้าจาก กฟผ. ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ในขณะเดียวกัน ร้อยเอ็ด กรีน มีรายได้ลดลง จำนวน 6 ล้านบาท เนื่องจากค่าพลังไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันเตาที่ลดลงซึ่งสัมพันธ์กับสูตรค่าไฟ รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง เอ็กโก โคเจน 1,926 1,961 (2%) ร้อยเอ็ด กรีน 226 233 (3%) รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 2,152 2,194 (2%) - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 34 ล้านบาท ลดลง 3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 9 สาเหตุหลักเกิดจากดอกเบี้ยรับที่ลดลงจำนวน 7 ล้านบาท เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง - ต้นทุนขาย จำนวน 1,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 จำนวน 22 ล้านบาท สาเหตุหลัก จากต้นทุนขายของร้อยเอ็ด กรีน เพิ่มขึ้น 17 ล้านบาท เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และต้นทุน ขายของ เอ็กโก โคเจน เพิ่มขึ้น 5 ล้านบาทจากค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจเอสพีพี: หน่วย : ล้านบาท 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง เอ็กโก โคเจน 1,546 1,541 0.30% ร้อยเอ็ด กรีน 131 114 15% รวมต้นทุนขาย-เอสพีพี 1,677 1,655 1% - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 24 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 82 สาเหตุหลักเกิดจากการจ่ายค่าปรับให้แก่ กฟผ. จำนวน 16 ล้านบาท จากการที่เอ็กโก โคเจนไม่สามารถขายไอน้ำให้แก่ลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อ ขายไฟฟ้า และการจ่ายภาษีเงินได้จากการยกเลิกบริษัท ไทยแอลเอ็นจี เพาเวอร์ จำกัด (ทีแอลพีซี) จำนวน 13 ล้านบาท - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 92 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 14 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 13 สาเหตุหลักเกิดจาก ดอกเบี้ยจ่ายของ เอ็กโก โคเจน ลดลง 13 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินต้นลดลง - ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ จีอีซี (ไม่รวม จีพีจี) เอพีบีพี และ เออีพี จำนวนรวม 608 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 483 ล้านบาท หรือร้อยละ 386 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2549 โดย ส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก จีอีซี จำนวน 497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 496 ล้านบาท สาเหตุหลัก เนื่องจากผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจำนวน 373 ล้านบาท และรายได้จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนแบ่งผลกำไรจาก เอพีบีพีและเออีพี จำนวน 111 ล้านบาท ลดลง 13 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เมื่อเทียบปี 2549 สาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ขายให้กับ กฟผ. ที่ลดลงและ ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นของเออีพี 4) กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล และ เอ็นทีพีซี มีส่วนแบ่งผล ขาดทุนจากส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 197 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 40 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนแบ่งผลกำไรจาก โคแนล จำนวน 53 ล้านบาท ลดลง 65 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ลดลงเนื่องจากการโอนโรงไฟฟ้า จำนวน 40 เมกะวัตต์ ของ เอ็นเอ็มพีซี ให้แก่ เอ็นพีซี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ซึ่งเป็นไป ตามสัญญาที่กำหนดไว้ และรายได้ค่าไฟที่ลดลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินเปโซ สำหรับ เอ็นทีพีซี มีส่วนแบ่งผลขาดทุน จำนวน 250 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 210 ล้านบาทแล้ว) ขาดทุนลดลง 25 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุ หลักมาจากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 5) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อยคือ เอสโก และ เอ็กคอมธารา และกิจการ ร่วมค้า 1 แห่ง คือ อเมสโก มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 0.23 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 703 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน จำนวน 3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 0.45 และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าจำนวน 2.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.78 ล้านบาท หรือร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้าของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ: หน่วย: ล้านบาท เอสโก เอ็กคอมธารา รวม 2550 2549 2550 2549 2550 2549 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม 773 802 228 201 1,000 1,003 (0.23%) ค่าใช้จ่ายรวม 631 643 72 63 703 706 (0.45%) กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 142 159 156 138 297 297 0% ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 2.29 1.51 - - 2.29 1.51 51% กำไรสุทธิก่อน Fx ของบริษัทย่อย และ MI 144 160 156 138 300 298 0.33% - รายได้ค่าบริการ ของเอสโก จำนวน 760 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 27 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 สาเหตุหลักจากรายได้การให้บริการบำรุงรักษากับบริษัท Granite Services International จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GE ลดลง และรายได้จาก การขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการผลิตไฟฟ้าระหว่างเอสโก กับโรงไฟฟ้าเอลกาลี 2 ประเทศซูดาน ลดลง - รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 218 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 จำนวน 26 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 14 เนื่องจากปริมาณน้ำประปาขั้นต่ำ (Minimum Take) และอัตรา ค่าน้ำที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาระยะยาวกับการประปาส่วนภูมิภาค - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 22 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 4 สาเหตุหลักมาจากรายได้อื่นๆ ของเอสโกลดลง 1 ล้านบาท - ต้นทุนบริการ จำนวน 536 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 จำนวน 13 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 เป็นผลมาจากการลดลงของต้นทุนการให้บริการบำรุงรักษาและขายอุปกรณ์ เครื่องจักรของ เอสโก ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง - ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 66 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 7 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12 เนื่องจากค่าจ้างผลิตน้ำประปาและบำรุงรักษาระบบผลิตและท่อส่งน้ำ ประปาของเอ็กคอมธาราเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 101 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 6 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 สาเหตุหลักค่าใช้จ่ายในการบริหารของเอสโกเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท - ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ของเอสโก จำนวน 2.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.78 ล้านบาท จาก อเมสโก 5. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน 5.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 บผฟ. บริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวมจำนวน 53,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,141 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับ สิ้นปี 2549 โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้ 1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จำนวน 5,492 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 3,284 ล้านบาท หรือร้อยละ 37 สาเหตุหลักจาก เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลง 1,851 ล้านบาท และเงินลงทุนระยะยาวในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดลดลง 1,468 ล้านบาท เนื่องจากการขายกองทุนเคทีเอสเอฟ สาเหตุที่เงินสดและรายการเทียบ เท่าเงินสดลดลงเนื่องจากการชำระเงินลงทุนในส่วนที่ บผฟ. ยังไม่ได้ชำระจากการลงทุน ในกิจการร่วมค้า บีแอลซีพี ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CLP Holdings Limited จำนวน 4,645 ล้านบาท และ บผฟ.ได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 5,588 ล้านบาท ให้กับ บีแอลซีพี และ จีอีซี นอกจากนี้ยังได้จ่ายคืนเงินกู้และหุ้นกู้จำนวน 2,196 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจำนวน 2,214 ล้านบาท ในขณะที่ บผฟ. ได้รับเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 6,318 ล้านบาท เบิกเงินกู้ยืมระยะยาวจาก ธนาคารพาณิชย์ไทย จำนวน 4,000 ล้านบาท ได้รับเงินสดสุทธิจากเงินลงทุนระยะสั้นและ ระยะยาวจำนวน 1,618 ล้านบาท และได้รับเงินปันผลจากกิจการร่วมค้าจำนวน 985 ล้านบาท 2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 915 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2 ของสินทรัพย์รวม ลดลง 1,385 ล้านบาท หรือร้อยละ 60 สาเหตุหลักจากการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระคืนของ บฟข. 3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสียตามงบการเงินรวม มีมูลค่าตามบัญชี เท่ากับ 20,233 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 38 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 7,857 ล้านบาท หรือร้อยละ 63 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่ 3.1) มีการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 5,588 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น จีอีซี จำนวน 2,330 ล้านบาท และบีแอลซีพี จำนวน 3,258 ล้านบาท 3.2) มีการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย จำนวน 5,301 ล้านบาท 3.3) ได้รับเงินปันผลจาก บีแอลซีพี โคแนล และบริษัท เอ็กโก ร่วมทุนและพัฒนา จำกัด จำนวน 3,140 ล้านบาท 3.4) กำไรจากการแปลงค่างบการเงินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ จำนวน 107 ล้านบาท สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม เป็นราคาเริ่มต้น ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท มีมูลค่าตามบัญชีปี 2550 เท่ากับ 29,653 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,543 ล้านบาท หรือร้อยละ 23 ซึ่งเป็นผลมาจาก บผฟ. มีการลงทุนเพิ่มในกิจการร่วมค้า ซึ่งได้แก่ จีอีซี และ บีแอลซีพี และมีการยกเลิกกิจการของ ทีแอลพีซี และโอนหุ้นที่ ทีแอลพีซี ถือใน เอ็กโก โคเจน มาที่ บผฟ. โดยที่มูลค่าเงินลงทุนใน เอ็กโก โคเจน น้อยกว่ามูลค่าเงินลงทุนใน ทีแอลพีซี จำนวน 45 ล้านบาท 4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์สุทธิ จำนวน 18,638 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของ สินทรัพย์รวม ลดลงสุทธิทั้งสิ้น 1,502 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 สินทรัพย์ที่ลดลงส่วนใหญ่ มาจาก การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ บผฟ. และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 2,129 ล้านบาท และการโอนวัสดุสำรองหลักที่ไม่ใช้งานออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ บฟร. และ บฟข. จำนวน 230 ล้านบาท ในขณะที่มีการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อมบำรุงรักษาของ บฟร. และ บฟข. จำนวน 590 ล้านบาท และซื้อสุทธิของที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 267 ล้านบาท 5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 8,322 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 1,455 ล้านบาท หรือร้อยละ 21 สาเหตุหลักเนื่องจากเงินปันผลค้างรับจากกิจการ ร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น จำนวน 2,075 ล้านบาท ในขณะที่ลูกหนี้การค้าบริษัทที่เกี่ยวข้อง ลดลง 266 ล้านบาท วัสดุสำรองคลังสุทธิลดลง 219 ล้านบาท และเงินให้กู้ยืมแก่ จีอีซี ลดลง 100 ล้านบาท 5.2 การวิเคราะห์หนี้สิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 บริษัทมีหนี้สินรวม จำนวน 11,605 ล้านบาท ลดลง 3,056 ล้านบาท หรือร้อยละ 21 ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 9,238 ล้านบาท หรือร้อยละ 80 ของหนี้สินรวม เพิ่มขึ้น 1,724 ล้านบาท หรือร้อยละ 23 สาเหตุหลักเกิดจากการเบิกเงินกู้ยืมระยะยาวของ บผฟ. จำนวน 4,000 ล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ไทยหนึ่งแห่ง เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2550 เพื่อชำระ คืนเงินกู้ระยะสั้นกับธนาคารพาณิชย์ไทย 2 แห่ง จำนวน 4,350 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มเบิกเงินกู้ งวดแรกเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2550 นอกจากนี้ยังมีการชำระหนี้เงินกู้และหุ้นกู้ของ บฟข. เอ็กโก โคเจน และร้อยเอ็ด กรีน จำนวน 2,196 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้ - เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ - เงินกู้สกุลเยน จำนวน 873 ล้านเยน - เงินกู้สกุลบาท จำนวน 4,715 ล้านบาท - หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 2,957 ล้านบาท กำหนดชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 หน่วย: ล้านบาท กำหนดชำระคืน บผฟ. บฟข. เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน ภายใน 1 ปี - 1,379 150 30 1-5 ปี - 2,227 968 120 เกินกว่า 5 ปี 4,000 - 255 109 รวม 4,000 3,606 1,373 259 ทั้งนี้เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ค้ำประกันโดยการจำนองที่ดิน อาคาร โรงไฟฟ้า และเครื่องจักร และได้กันเงินสำรองเพื่อการชำระคืนเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยที่จะครบกำหนด ชำระคืนภายใน 1 ปี และเพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 2,367 ล้านบาท หรือร้อยละ 20 ของหนี้สินรวม ลดลง 4,781 ล้านบาท หรือร้อยละ 67 สาเหตุหลักเนื่องจาก บผฟ. ได้ชำระเงินลงทุนในส่วนที่ยังค้างชำระ จำนวน 4,645 ล้านบาท ให้แก่ CLP Power (BLCP) Ltd. เพื่อแลกกับการโอนหุ้นบีแอลซีพี ในวันที่ 30 มกราคม 2550 และภาษีเงินได้ค้างจ่ายลดลง 315 ล้านบาท เนื่องจากภาษีเงินได้ ของ บฟร. และ บฟข. ลดลง ในขณะที่หนี้สินสุทธิในกิจการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเอ็นทีพีซี 5.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 41,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก สิ้นปี 2549 จำนวน 6,198 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 เนื่องจากปัจจัยหลักคือ - กำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานตามงบการเงินรวม จำนวน 8,402 ล้านบาท - ในการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2550 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนหลัง ของปี 2549 ในอัตราหุ้นละ 2 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,053 ล้านบาท และบผฟ. ได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2550 - ในการประชุมคณะกรรมการ บผฟ. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2550 ที่ประชุมได้มีมติ อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนแรก ของปี 2550 ในอัตราหุ้นละ 2.25 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,185 ล้านบาท และ บผฟ. ได้จ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 (ยังมีต่อ)