EN | TH
12 พฤษภาคม 2551

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวด 3 เดือน ปี 2551

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 3 เดือน ปี 2551 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอ ข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะ การเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการ ที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูล และคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอ นี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้ นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือ ข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5145-7 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (Independent Power Producer) มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็ก จำนวน 14 โรง คิดเป็น กำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,876 เมกะวัตต์ โดยกลุ่ม บผฟ. มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนแรก ปี 2551 ดังนี้ - โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 2 กำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิด พลังความร้อนร่วมของกิจการร่วมค้าบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อนกำหนดเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่ม บผฟ. สำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทั้งสิ้น 2,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 286 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึง ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ. และบริษัทย่อยแล้ว ในงวด 3 เดือน ปี 2551 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 2,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2550 จำนวน 302 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 โดยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก - บผฟ. มีขาดทุน 43 ล้านบาท โดยขาดทุนลดลง 7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง โดยส่วนใหญ่จากค่าใช้จ่ายในการพัฒนา โครงการที่ลดลง - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) กิจการร่วมค้าบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (บีแอลซีพี) และ จีพีจี มีกำไรสุทธิของกลุ่มเท่ากับ 2,648 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากส่วนแบ่งกำไรของ จีพีจี ที่เพิ่มขึ้น จากการเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของ โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 และ 2 ในเดือนพฤษภาคม 2550 และกุมภาพันธ์ 2551 ตามลำดับ - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 3 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) (ไม่รวม จีพีจี) บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) และ 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอ็กโก โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 154 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก จีอีซี ที่เพิ่มขึ้น จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน - กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย 2 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีขาดทุนเพิ่มขึ้น 168 ล้านบาท ส่งผลให้ ขาดทุนสุทธิรวม 237 ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากส่วนแบ่งผลขาดทุนของ เอ็นทีพีซี เพิ่มขึ้น 172 ล้านบาท จากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน - กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) และกิจการร่วมค้าบริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท จากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ บผฟ. เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชนแห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่างๆ บผฟ. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า ?เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้า ครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม? บผฟ.ดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งใน ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยมีเป้าหมายในการจัดหา ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการบริหารจัดการโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับ ความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ณ เดือนมีนาคม 2551 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 29,964.25 เมกะวัตต์ /1 และมีความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้น ณ วันที่ 19 มีนาคม 2551 ที่ 22,112 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งต่ำกว่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนของปี 2550 คิดเป็นร้อยละ 2.10 /1 ที่มา : กฟผ. สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บผฟ. ได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายการลงทุน ไปยังโรงไฟฟ้าต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีการขายไฟฟ้ากลับเข้ามา ยังประเทศไทย เช่น โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศลาว พม่า และกัมพูชา ตลอดจนลงทุน โครงการอื่น ๆ ภายในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง และพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานขยะ และพลังงานชีวมวล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บผฟ. มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,876 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 14 โรง โดยกำลังการผลิตติดตั้งส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้า ทั้งสอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. นอกจากนี้ บผฟ. มีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี กำลัง การผลิตรวม 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 หรือ จำนวน 717 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 18 ของกำลังการผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยใช้ถ่านหินคุณภาพดีนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียเป็นเชื้อเพลิง อีกทั้ง บผฟ. ยังมีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการแก่งคอย 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 1,468 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 50 ใน จีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแล โครงการคือ จีพีจี ร้อยละ 99.99) หรือ 734 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของ กำลังการผลิตติดตั้งรวมของ บผฟ. โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 2 ชุด (โรงที่ 1 และโรงที่ 2) มีกำลังการผลิตติดตั้งชุดละ 734 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก สำหรับโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 และโรงที่ 2 ได้เริ่ม เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 นอกจากนี้โครงการแก่งคอย 2 ยังเป็นโรงไฟฟ้าที่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม และยังได้รับ การยกย่องจากนิตยสาร Diesel & Gas Turbine Worldwide ฉบับเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2551 ว่าเป็น ? World?s Best Power Plants? ในขณะเดียวกัน บผฟ. ยังถือหุ้นในโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ บผฟ. จำนวนรวม 267.5 เมกะวัตต์ มีรายละเอียด ดังนี้ โครงการน้ำเทิน 2 (บผฟ. ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ) ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ และกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญา ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้กับรัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 85 ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่างมีสาระ สำคัญโดยการจ่ายเงินปันผลต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน โครงสร้างการดำเนินธุรกิจ ของ บผฟ. อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัท ดำเนินธุรกิจด้านการผลิตไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย บผฟ. มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัด โครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการขยายกิจการ และเพิ่มความ สามารถในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า ฝ่ายบริหารขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ บผฟ. บริษัทย่อย และ ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ของกลุ่ม บผฟ. สำหรับงวด 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 286 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้า ที่เพิ่มขึ้น 345 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจาก จีพีจี และ บีแอลซีพี สำหรับกำไรขั้นต้นมีจำนวนเท่ากับ 1,339 ล้านบาท ลดลง 50 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟข. ที่ลดลงจากอัตราค่าไฟซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้า และมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,322 ล้านบาท ลดลง 75 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 โดยปัจจัยหลักเกิดจากการลดลงของรายได้ค่าไฟฟ้า กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และดอกเบี้ยรับ ของ บผฟ. และบริษัทย่อย หน่วย : ล้านบาท กำไรสุทธิ 3 เดือน กำไรสุทธิ 3 เดือน ปี 2551 ปี 2550 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX บผฟ. (43) (43) (50) (50) กลุ่มธุรกิจไอพีพี 2,648 2,678 2,343 2,378 กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 312 341 158 188 กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า ต่างประเทศ (237) (237) (68) (68) กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 88 78 84 83 รวม 2,769 2,817 2,467 2,531 หมายเหตุ: - กำไรสุทธิภายใต้งบการเงินรวมตามวิธีส่วนได้เสียไม่ได้แยกผลกระทบจากอัตรา แลกเปลี่ยนของกิจการร่วมค้า - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. บีแอลซีพี จีพีจี - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) เออีพี เอพีบีพี เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา อเมสโก สำหรับงวด 3 เดือน ปี 2551 กลุ่ม บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ. และบริษัทย่อย จำนวน 48 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ซึ่ง กลุ่ม บผฟ. มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 64 ล้านบาท ทั้งนี้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จำนวน 30 ล้านบาทเป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทยซึ่งเกิดขึ้นจาก ผลต่างของการแปลงมูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตรา สกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 มีนาคม 2551) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2550) หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ. และบริษัทย่อยแล้ว ในงวด 3 เดือน ปี 2551 บริษัทจะมีกำไรจำนวน 2,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 302 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 12 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ บผฟ. และบริษัทย่อย จำนวน 48 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 165 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 176 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 551 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่ม บผฟ. สำหรับงวด 3 เดือน ปี 2551 จะเป็นจำนวน 3,660 ล้านบาท /1 เพิ่มขึ้น 310 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับกำไรของกลุ่ม บผฟ. ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 3,350 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 64 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 192 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 163 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและ ค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 528 ล้านบาท /1 หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่าง ๆ ของกิจการร่วมค้า EBITDA จะเท่ากับ 4,137 ล้านบาท อัตราส่วนแสดงความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) มีดังนี้ - อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 48.75 - อัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับร้อยละ 48.12 - อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 59.23 - อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 58.21 - กำไรสุทธิ ต่อหุ้น เท่ากับ 5.35 บาท - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย) ต่อหุ้นเท่ากับ 5.26 บาท - อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเท่ากับร้อยละ 6.58 อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 48.75 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 50.48 เนื่องจากกำไรขั้นต้นของ บฟข. ลดลง สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลง ในขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 58.21 นั้นสูงกว่าช่วงเวลา เดียวกันปี 2550 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 55.40 สาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้าของ จีพีจี และ บีแอลซีพี ที่เพิ่มขึ้น 3.2 การวิเคราะห์รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 3 เดือน ปี 2551 ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ บผฟ. และบริษัทย่อย (Fx) และกำไรสุทธิของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (MI) เป็นดังนี้ - รายได้รวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย มีจำนวนทั้งสิ้น 2,881 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน จำนวน 41 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.42 - ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. และบริษัทย่อย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 3 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 0.16 สำหรับส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 1,875 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยน จำนวน 625 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้น จำนวน 345 ล้านบาท หรือร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเวลา เดียวกันปี 2550 ซึ่งมีส่วนแบ่งผลกำไรจำนวน 1,530 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 383 ล้านบาทแล้ว) โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจดังต่อไปนี้ รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า หน่วย : ล้านบาท บผฟ. ไอพีพี เอสพีพี 3M51 3M50 3M51 3M50 3M51 3M50 รายได้รวม 111 113 1,901 1,990 556 563 ค่าใช้จ่ายรวม 154 163 1,127 1,172 452 448 กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า (43) (50) 774 818 104 115 ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - 1,875 1,525 235 73 กำไรสุทธิก่อน Fx ของ บริษัทย่อย และ MI (43) (50) 2,648 2,343 339 188 ต่างประเทศ อื่นๆ รวม 3M51 3M50 3M51 3M50 3M51 3M50 รายได้รวม - - 313 256 2,881 2,922 ค่าใช้จ่ายรวม - - 215 161 1,948 1,945 กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 98 95 933 977 ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า (237) (68) 2.41 0.99 1,875 1,530 กำไรสุทธิก่อน Fx ของ บริษัทย่อย และ MI (237) (68) 101 96 2,809 2,508 1) บผฟ. มีรายได้รวมในงวด 3 เดือน ปี 2551 จำนวน 111 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผล รับจากการลงทุนทางการเงิน 78 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 19 ล้านบาท และ รายได้อื่นๆ 14 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ บผฟ. ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ทั้งสิ้น 2 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยรับลดลง 4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยและ จำนวนเงินฝากที่ลดลง ประกอบกับเงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน ลดลงทั้งสิ้น 5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6 สาเหตุการลดลงมาจากเงินปันผลรับจากกองทุนเปิดอื่นๆ ลดลง 21 ล้านบาท ในขณะที่เงินปันผลรับจาก บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เพิ่มขึ้น จำนวน 16 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวมของ บผฟ. รวมทั้งสิ้น 154 ล้านบาท ลดลง 9 ล้านบาท หรือร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ค่าที่ปรึกษาที่ลดลง 2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. บฟข. บีแอลซีพี และ จีพีจี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,901 ล้านบาท ลดลง 89 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 1,127 ล้านบาท ลดลง 45 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และส่วนแบ่งผลกำไรใน ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 1,875 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 713 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้น 350 ล้านบาท หรือร้อยละ 23 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ซึ่งมีส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าจำนวน 1,525 ล้านบาท (รวมกำไรจาก อัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 440 ล้านบาทแล้ว) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า ของกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. บีแอลซีพี 3M51 3M50 3M51 3M50 3M51 3M50 รายได้รวม 967 901 934 1,090 - - ค่าใช้จ่ายรวม 565 563 562 610 - - กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 403 338 371 480 - - ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - - - 1,378 1,273 กำไรสุทธิก่อน Fx ของ บริษัทย่อย และ MI 403 338 371 480 1,378 1,273 จีพีจี รวม 3M51 3M50 3M51 3M50 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม - - 1,901 1,990 (4%) ค่าใช้จ่ายรวม - - 1,127 1,172 (4%) กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 774 818 (5%) ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 497 253 1,875 1,525 23%. กำไรสุทธิก่อน Fx ของ บริษัทย่อย และ MI 497 253 2,648 2,343 13% - รายได้ค่าไฟของกลุ่มธุรกิจไอพีพี จำนวนรวม 1,888 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 66 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 เนื่องจากรายได้ค่าไฟของ บฟข. จำนวน 927 ล้านบาท ลดลง 137 ล้านบาท สาเหตุหลักจากอัตราค่าไฟฟ้า (Base Availability Credit) ที่ลดลง ในขณะที่รายได้ค่าไฟ ของ บฟร. จำนวน 961 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น (Capacity Rate) ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่ม (Cost Plus) ที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 บฟร. ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนรายได้ล่วงหน้ากับสถาบัน การเงินแห่งหนึ่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 รายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนรายได้ล่วงหน้า จำนวน 41.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตามสัญญาเท่ากับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2553 รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 3M51 3M50 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 961 891 8% บฟข. 927 1,063 (13%) รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 1,888 1,954 (3%) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในการคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่าย พลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่าย ในการกู้ยืมเงินและค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลัง ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากที่เคยกำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการ ปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ในงวด 3 เดือน ปี 2551 รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับ ชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 65 ล้านบาท - รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 13 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท หรือร้อยละ 63 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟข. และ บฟร. ลดลง 19 ล้านบาท และ 6 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง - ต้นทุนขาย จำนวน 800 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 17 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายของ บฟร. ลดลง 51 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 เนื่องจาก ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมบำรุงรักษา ในขณะที่ บฟข. มีต้นทุนขาย เพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เนื่องจาก บฟข. มีค่าน้ำมันเตาเพิ่มขึ้น เนื่องจาก กฟผ. สั่ง เดินเครื่องด้วยน้ำมันเตา ซึ่งสามารถเรียกเก็บในรายได้ค่าไฟฟ้าจาก กฟผ. ทั้งนี้เป็นไปตามสัญญา ซื้อขายไฟฟ้า ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 3M51 3M50 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 433 485 (11%) บฟข. 367 333 10% รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 800 817 (2%) - ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 228 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 21 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 10 สาเหตุหลักจากภาษีเงินได้ของ บฟร. เพิ่มขึ้น จำนวน 41 ล้านบาท หรือร้อยละ 78 เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาษีเงินได้ของ บฟข. ลดลง จำนวน 26 ล้านบาท หรือร้อยละ 27 เนื่องจากรายได้ที่ลดลง ปัจจุบัน บฟร. และ บฟข. ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้รับจากการลงทุนผลิตไฟฟ้าในอัตรา ร้อยละ 50 ของอัตราปกติ เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2551 และ วันที่ 25 กันยายน 2552 ตามลำดับ - ดอกเบี้ยจ่าย จำนวนรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 48 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 33 เนื่องจาก บฟข. มีจำนวนเงินต้นของเงินกู้และหุ้นกู้ลดลง - ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า คือ บีแอลซีพี และ จีพีจี จำนวน 1,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 350 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 23 โดยส่วนใหญ่เกิดจากส่วนแบ่งผลกำไรจาก จีพีจี จำนวน 479 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 209 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้นจำนวน 244 ล้านบาท หรือร้อยละ 97 จากรายได้ค่าไฟฟ้าของโครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 1 และ 2 ที่ได้เริ่มเดิน เครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือน พฤษภาคม 2550 และ กุมภาพันธ์ 2551 ตามลำดับ และส่วนแบ่ง ผลกำไรจาก บีแอลซีพี จำนวน 1,378 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 504 ล้านบาทแล้ว) เพิ่มขึ้นจำนวน 105 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 จากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (ยังมีต่อ)