13 สิงหาคม 2551
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร งวดครึ่งปีแรก ปี 2551
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
สำหรับผลการดำเนินงาน ครึ่งปีแรก ปี 2551
สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551
หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอข้อมูลและ
แสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถติดตามและทำความเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนิน
งานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับ
หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะ
การเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือ
สภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้
ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5145-7 หรือ email : ir@egco.com
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร
1. บทสรุปผู้บริหาร
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน(Independent Power
Producer) มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และเล็ก จำนวน 12 โรง คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้น
รวมจำนวน 3,826.5 เมกะวัตต์ โดยกลุ่ม เอ็กโก มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ปี 2551 ดังนี้
- โครงการแก่งคอย 2 โรงที่ 2 กำลังผลิต 734 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชนิด
พลังความร้อนร่วมของกิจการร่วมค้าบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี)
ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อนกำหนดเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551
- การขายหุ้นของกิจการร่วมค้าบริษัท เอ็กโก ร่วมทุนและพัฒนา จำกัด (บรพ.) ซึ่งถือหุ้นในบริษัท
อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) และบริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี)
และการขายหุ้นของ กิจการร่วมค้าบริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) ถือหุ้นโดย
บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ เอ็กโก ถือหุ้น
ในสัดส่วนร้อยละ 100 ในเดือนพฤษภาคม 2551 โดยขายให้กับบริษัท อมตะ เพาเวอร์ จำกัด
(อมตะ เพาเวอร์)
ผลการดำเนินงานของกลุ่ม เอ็กโก สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2551 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551
มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ทั้งสิ้น 4,257 ล้านบาท ลดลง 754 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ทั้งนี้หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ เอ็กโก
และบริษัทย่อยแล้ว บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,226 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2550 จำนวน
682 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 14 โดยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
* เอ็กโก มีขาดทุน 198 ล้านบาท โดยขาดทุนเพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจากเงินปันผลรับ และรายได้อื่นๆที่ลดลง
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเอกชน (ไอพีพี) คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) บริษัท ผลิตไฟฟ้า
ขนอม จำกัด (บฟข.) กิจการร่วมค้าบริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (บีแอลซีพี) และ จีพีจี มีกำไรสุทธิ
ของกลุ่มเท่ากับ 3,945 ล้านบาท ลดลง 562 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จากส่วนแบ่งกำไรของ บีแอลซีพี ที่ลดลง
จากรายได้ค่าไฟและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ประกอบด้วย 3 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด
(มหาชน) (จีอีซี) (ไม่รวม จีพีจี) เออีพี เอพีบีพี และ 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น
จำกัด (เอ็กโก โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นเท่ากับ
380 ล้านบาท ซึ่งกำไรสุทธิดังกล่าวรวมส่วนแบ่งกำไรของ เออีพี และ เอพีบีพี ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2551
ลดลงทั้งสิ้น 205 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นส่วนแบ่งกำไรจาก จีอีซี ที่ลดลง จากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง
* กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ประกอบด้วย 2 กิจการร่วมค้า คือ บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น
(โคแนล) และ โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็นทีพีซี) มีขาดทุนลดลง 82 ล้านบาท ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิรวม 64
ล้านบาท สาเหตุหลักเนื่องจากส่วนแบ่งผลขาดทุนของ เอ็นทีพีซี ลดลง 70 ล้านบาท จากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
ลดลง ประกอบกับ โคแนล มีกำไรเพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น
* กลุ่มธุรกิจอื่นๆ ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก)
บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) และ 1 กิจการร่วมค้าคือ อเมสโก มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 163
ล้านบาท ซึ่งกำไรสุทธิดังกล่าวรวมส่วนแบ่งกำไรของ อเมสโก ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 เพิ่มขึ้น 53 ล้านบาท
จากรายได้ค่าบริการที่เพิ่มขึ้นของเอสโก
2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ
เอ็กโก เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535
ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีการลงทุนในบริษัทย่อยหรือบริษัทร่วมต่างๆ เอ็กโกดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า
?เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งใน
ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม?
เอ็กโกดำเนินธุรกิจหลักในการลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
เพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
โดยมีเป้าหมายในการจัดหาผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการบริหารจัดการโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน
ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้
ณ เดือนมิถุนายน 2551 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 30,664.25 เมกะวัตต์ /1 และมีความ
ต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2551 ที่ 22,568 เมกะวัตต์ /1 ซึ่งต่ำกว่าความต้องการพลังไฟฟ้า
สูงสุด ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนของปี 2550 คิดเป็นร้อยละ 0.08
/1 ที่มา: กฟผ.
สืบเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ตัวเลขราคาค่าไฟฟ้า
ที่เสนอไปก่อนหน้านี้ ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ ทางรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้แจ้ง
ขอเลื่อนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 4 โครงการออกไปอย่างน้อย 1 ปี โดยจะมีการเจรจาเรื่องค่าไฟฟ้าใหม่
และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายละเอียดโครงการ
ในส่วนความคืบหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก ไอพีพี จำนวน 4 รายที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว หากผู้ประมูล
ไม่สามารถที่จะทำตามเงื่อนไข ทั้งการจัดทำแผนผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และปัญหาต้นทุนแพงจนไม่สามารถ
ขายในราคาที่เสนอไว้ภายในวันที่ 1 กันยายน 2551 ก็อาจจะต้องยกเลิกโครงการไป อย่างไรก็ดี จากการประเมิน
เบื้องต้น หากมีการยกเลิกไป 1-2 โครงการ จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ เนื่องจาก
แนวโน้มการใช้ไฟฟ้ายังต่ำกว่าเป้าหมายค่อนข้างสูง และแผนสำรองไฟฟ้ายังคงมีเหลือมากกว่าร้อยละ 15
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอ็กโกได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าต่างประเทศมากขึ้น
โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีการขายไฟฟ้ากลับเข้ามายังประเทศไทย เช่น โครงการโรงไฟฟ้าใน
ประเทศลาว พม่า และกัมพูชา ตลอดจนลงทุนโครงการอื่น ๆ ภายในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง
และพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานขยะ และพลังงานชีวมวล
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 เอ็กโก มีกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,826.5 เมกะวัตต์
จากโรงไฟฟ้า 12 โรง /1 โดยกำลังการผลิตติดตั้งส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิตติดตั้ง 1,232
เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ซึ่งทั้ง 2 โรงไฟฟ้าดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติ
เป็นเชื้อเพลิงหลัก โดยกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งสอง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.7 ของกำลังผลิตติดตั้ง
รวมของเอ็กโก
/1 เอ็กโก ได้ขายหุ้นในบริษัทเอ็กโกร่วมทุนและพัฒนา จำกัด ซึ่งมีโรงไฟฟ้า 2 โรง คือ เออีพี และ เอพีบีพี กำลัง
การผลิตรวม 41.3 เมกะวัตต์ ให้แก่บริษัทอมตะเพาเวอร์ จำกัด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551
นอกจากนี้ เอ็กโก มีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี กำลังการผลิตรวม 1,434
เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 หรือ จำนวน 717 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.7 ของกำลังการ
ผลิตติดตั้งรวมของ เอ็กโก โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจังหวัดระยอง โดยใช้ถ่านหินคุณภาพดี
นำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียเป็นเชื้อเพลิง
อีกทั้ง เอ็กโก ยังมีกำลังการผลิตติดตั้งจากโครงการแก่งคอย 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 1,468 เมกะวัตต์
ในสัดส่วนร้อยละ 50 (เอ็กโก ถือหุ้นร้อยละ 50 ใน จีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการคือ จีพีจี
ร้อยละ 99.99) หรือ 734 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.3 ของกำลังการผลิตติดตั้งรวมของ เอ็กโก
โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 2 ชุด (โรงที่ 1 และ
โรงที่ 2) มีกำลังการผลิตติดตั้งชุดละ 734 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก สำหรับโครงการ
แก่งคอย 2 โรงที่ 1 ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2550 และโรงที่ 2 ได้เริ่มเดินเครื่อง
เชิงพาณิชย์ก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551
ในขณะเดียวกัน เอ็กโก ยังถือหุ้นในโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคิดเป็นกำลัง
การผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ เอ็กโก จำนวนรวม 267.5 เมกะวัตต์ มีรายละเอียด ดังนี้
โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็กโก ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ) ผลิตกระแสไฟฟ้าจาก
พลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต 1,070 เมกะวัตต์ และกำหนดจำหน่าย
กระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้า
ส่วนที่เหลือให้กับรัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ประมาณ
ร้อยละ 87
ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 40 ของ
กำไรสุทธิงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด
เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงาน
ปกติของบริษัทอย่างมีสาระสำคัญโดยการจ่ายเงินปันผลต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ
3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน
โครงสร้างการดำเนินธุรกิจของเอ็กโก อยู่ในรูปของบริษัทโฮลดิ้ง เพื่อให้แต่ละบริษัทดำเนินธุรกิจด้านการผลิต
ไฟฟ้าหรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้อย่างอิสระต่อกัน โดย เอ็กโก มีรายได้หลัก คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทย่อย
บริษัทร่วม และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า การจัดโครงสร้างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อได้รับความสะดวกในการ
ขยายกิจการ และเพิ่มความสามารถในการระดมเงินกู้สำหรับโครงการใหม่ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโครงการเก่า
ฝ่ายบริหารขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ เอ็กโก บริษัทย่อย และ ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า
เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้
3.1 สรุปผลการดำเนินงาน
กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ของกลุ่ม เอ็กโก สำหรับครึ่งปีแรกปี 2551 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551
มีจำนวนทั้งสิ้น 4,257 ล้านบาทลดลง 754 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี
2550 สาเหตุหลักมาจากส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าที่ลดลง 522 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจาก บีแอลซีพี
สำหรับกำไรขั้นต้นมีจำนวนเท่ากับ 2,478 ล้านบาท ลดลง 91 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 สาเหตุหลักจากรายได้
ค่าไฟฟ้าของ บฟข. ที่ลดลงจากอัตราค่าไฟซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมีกำไรจากการดำเนินงาน
จำนวน 2,284 ล้านบาท ลดลง 252 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 โดยปัจจัยหลักเกิดจากต้นทุนขายและบริการที่เพิ่มขึ้น
และ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และดอกเบี้ยรับที่ลดลงของ เอ็กโก และบริษัทย่อย
หน่วย : ล้านบาท
กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรกปี 2551 กำไรสุทธิ ครึ่งปีแรก ปี 2550
ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX
เอ็กโก (198) (198) (147) (147)
กลุ่มธุรกิจไอพีพี 3,945 3,983 4,507 4,558
กลุ่มธุรกิจเอสพีพี 380 371 585 641
กลุ่มธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้า
ต่างประเทศ (64) (64) (146) (146)
กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 163 165 109 105
รวม 4,226 4,257 4,908 5,011
หมายเหตุ: - กำไรสุทธิภายใต้งบการเงินรวมตามวิธีส่วนได้เสียไม่ได้แยกผลกระทบ
จากอัตราแลกเปลี่ยนของกิจการร่วมค้า
- ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. บีแอลซีพี จีพีจี
- เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) เออีพี เอพีบีพี เอ็กโก
โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน
- ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี
- อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา อเมสโก
สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2551 กลุ่ม เอ็กโก มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ เอ็กโก และบริษัทย่อย
จำนวน 31 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ซึ่ง กลุ่ม เอ็กโก มีกำไรจากอัตรา
แลกเปลี่ยน จำนวน 103 ล้านบาท ทั้งนี้ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจำนวน 10 ล้านบาท
เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทยซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลง
มูลค่าหนี้คงค้างสุทธิเฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาทณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชี
ปัจจุบัน (วันที่ 30 มิถุนายน 2551) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2550)
หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ เอ็กโก และบริษัทย่อยแล้ว ในครึ่งปีแรก ปี 2551
บริษัทจะมีกำไรจำนวน 4,226 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 682 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 14
นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับ เอ็กโก และบริษัทย่อย จำนวน 31 ล้านบาท
ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 327 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 356 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่าง ๆ
จำนวน 1,101 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่าง ๆ (EBITDA)
ของกลุ่ม เอ็กโก สำหรับครึ่งปีแรก ปี 2551 จะเป็นจำนวน 6,010 ล้านบาท /1 ลดลง 652 ล้านบาท
หรือคิดเป็นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับ EBITDA ของกลุ่ม เอ็กโก ในช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 6,662
ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 103 ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 415 ล้านบาท
ภาษีเงินได้จำนวน 273 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,065 ล้านบาท
/1 หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆของ
กิจการร่วมค้า EBITDA จะเท่ากับ 8,241 ล้านบาท
อัตราส่วนแสดงความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) มีดังนี้
- อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 46.55
- อัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับร้อยละ 42.91
- อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 51.63
- อัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก และ
บริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 51.25
- กำไรสุทธิ ต่อหุ้น เท่ากับ 8.09 บาท
- กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก และบริษัทย่อย)
ต่อหุ้นเท่ากับ 8.03 บาท
- อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเท่ากับร้อยละ 9.93
อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 46.55 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันปี 2550ซึ่งเท่ากับร้อยละ 48.37
เนื่องจากกำไรขั้นต้นของ บฟข. ลดลง สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลง และอัตรากำไรสุทธิ (ไม่รวม
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก และบริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 51.25 ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกัน
ปี 2550 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 55.37 สาเหตุหลักจากส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้าของ บีแอลซีพี
ที่ลดลง
3.2 การวิเคราะห์รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า
ผลการดำเนินงานสำหรับครึ่งปีแรก ปี 2551 ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก และ
บริษัทย่อย (Fx) และกำไรสุทธิของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (MI) เป็นดังนี้
- รายได้รวมของ เอ็กโก และบริษัทย่อย มีจำนวนทั้งสิ้น 5,539 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ของปีก่อน จำนวน 83 ล้านบาท หรือร้อยละ 1
- ค่าใช้จ่ายรวมของ เอ็กโก และบริษัทย่อย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 3,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลา
เดียวกันของปีก่อน จำนวน 92 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2
สำหรับส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 2,720 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตรา
แลกเปลี่ยน จำนวน 31 ล้านบาทแล้ว) ลดลง จำนวน 522 ล้านบาท หรือร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเวลา
เดียวกันปี 2550 ซึ่งมีส่วนแบ่งผลกำไรจำนวน 3,242 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 619
ล้านบาทแล้ว) โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจดังต่อไปนี้
รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า
หน่วย : ล้านบาท
เอ็กโก ไอพีพี เอสพีพี
1H51 1H50 1H51 1H50 1H51 1H50
รายได้รวม 152 218 3,718 3,911 1,099 1,087
ค่าใช้จ่ายรวม 350 365 2,318 2,351 915 884
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า (198) (147) 1,400 1,560 184 203
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
จากกิจการร่วมค้า - - 2,545 2,947 236 438
กำไรสุทธิก่อน Fx ของ
บริษัทย่อย และ MI (198) (147) 3,945 4,507 420 641
ต่างประเทศ อื่นๆ รวม
1H51 1H50 1H51 1H50 1H51 1H50
รายได้รวม - - 570 407 5,539 5,622
ค่าใช้จ่ายรวม - - 387 278 3,970 3,878
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 183 129 1,569 1,744
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
จากกิจการร่วมค้า (64) (146) 4 3 2,720 3,242
กำไรสุทธิก่อน Fx ของ
บริษัทย่อย และ MI (64) (146) 187 132 4,289 4,986
1) เอ็กโก มีรายได้รวมในครึ่งปีแรก ปี 2551 จำนวน 152 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินปันผลรับจากการ
ลงทุนทางการเงิน 78 ล้านบาท ดอกเบี้ยรับ 45 ล้านบาทและ รายได้อื่นๆ 29 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้รวมของ
เอ็กโก ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ทั้งสิ้น 66 ล้านบาท หรือร้อยละ 30 สาเหตุหลักมาจากรายได้อื่น ๆ
ลดลง 40 ล้านบาท หรือร้อยละ 57 เนื่องจากในปี 2550 มีกำไรจากการขายกองทุนเปิด ประกอบกับ
เงินปันผลรับจากการลงทุนทางการเงิน ลดลงทั้งสิ้น 31 ล้านบาท หรือร้อยละ 28 เนื่องจากคงเหลือ
เงินปันผลรับจาก บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์
เพียงแห่งเดียว จำนวน 78 ล้านบาท
ค่าใช้จ่ายรวมของ เอ็กโก จำนวนทั้งสิ้น 350 ล้านบาท ลดลง 15 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ
ช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 สาเหตุหลักมาจากค่าโฆษณาที่ลดลง และค่าใช้จ่ายพัฒนาโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่
ค่าที่ปรึกษาที่ลดลง
2) กลุ่มธุรกิจไอพีพี คือ บฟร. บฟข. บีแอลซีพี และ จีพีจี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 3,718 ล้านบาท ลดลง
192 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 2,318
ล้านบาท ลดลง 33 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และส่วนแบ่งผลกำไรใน
ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 2,545 ล้านบาท (รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 11
บาทแล้ว) ลดลง 402 ล้านบาท หรือร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 ซึ่งมี
ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าจำนวน 2,947 ล้านบาท (รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
จำนวน 490 ล้านบาทแล้ว) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้าของกลุ่มธุรกิจไอพีพี:
หน่วย : ล้านบาท
บฟร. บฟข. บีแอลซีพี
1H51 1H50 1H51 1H50 1H51 1H50
รายได้รวม 1,941 1,804 1,778 2,107 - -
ค่าใช้จ่ายรวม 1,184 1,065 1,134 1,286 - -
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 757 739 644 820 - -
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
จากกิจการร่วมค้า - - - - 1,894 2,525
กำไรสุทธิก่อน Fx ของ
บริษัทย่อย และ MI 757 739 644 820 1,894 2,525
จีพีจี รวม
1H51 1H50 1H51 1H50 %เปลี่ยนแปลง
รายได้รวม - - 3,718 3,911 (5%)
ค่าใช้จ่ายรวม - - 2,318 2,351 (1%)
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 1,400 1,560 (10%)
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
จากกิจการร่วมค้า 651 422 2,545 2,947 (14%)
กำไรสุทธิก่อน Fx ของ
บริษัทย่อย และ MI 651 422 3,945 4,507 (12%)
* รายได้ค่าไฟของกลุ่มธุรกิจไอพีพี จำนวนรวม 3,686 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกัน
ปี 2550 จำนวน 161 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 เนื่องจากรายได้ค่าไฟของ บฟข. จำนวน 1,760
ล้านบาท ลดลง 300 ล้านบาท สาเหตุหลักจากอัตราค่าไฟฟ้า (Base Availability Credit)
ที่ลดลง ในขณะที่รายได้ค่าไฟของ บฟร. จำนวน 1,927 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139 ล้านบาท
เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น (Capacity Rate) ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า
ในลักษณะต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่ม (Cost Plus) ที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 บฟร.
ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนรายได้ล่วงหน้ากับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวน
ของอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 รายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาอัตราแลกเปลี่ยนรายได้
ล่วงหน้า จำนวน 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตามสัญญาเท่ากับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐ สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2553
รายได้ค่าไฟฟ้ากลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H51 1H50 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 1,927 1,788 8%
บฟข. 1,760 2,059 (15%)
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 3,686 3,847 (4%)
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ คือ
ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในการ
คำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับ
การปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินและ
ค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับ
การชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากที่เคยกำหนดไว้ใน
สัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า
ระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ
28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ในครึ่งปีแรก ปี 2551 รายได้ค่าไฟฟ้าจากบริษัทย่อยหลักได้
รวมส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 136 ล้านบาท
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 32 ล้านบาท ลดลง 31 ล้านบาท หรือร้อยละ
49 สาเหตุหลักจากดอกเบี้ยรับของ บฟข. และ บฟร. ลดลง 29 ล้านบาท และ 9 ล้านบาท ตามลำดับ
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
* ต้นทุนขาย จำนวน 1,671 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2550 จำนวน 5 ล้านบาท
หรือ ร้อยละ 0.3 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขาย บฟข. ลดลง 16 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 เนื่องจาก
ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมบำรุงรักษา
ต้นทุนขายกลุ่มธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท
1H51 1H50 %เปลี่ยนแปลง
บฟร. 913 902 1%
บฟข. 759 774 (2%)
(ยังมีต่อ)