EN | TH
13 พฤษภาคม 2552

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร

บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร สำหรับผลการดำเนินงานประจำงวด 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 หมายเหตุ: บทรายงานและการวิเคราะห์งบการเงินฉบับนี้ ฝ่ายบริหารได้จัดทำขึ้นเพื่อ นำเสนอข้อมูลและแสดงวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารให้นักลงทุนสามารถติดตามและทำความเข้าใจ ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดีขึ้น อันเป็นการส่งเสริมโครงการ การกำกับดูแลกิจการที่ดีของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) อนึ่งเนื่องจากบทรายงานและการวิเคราะห์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอ ข้อมูลและคำอธิบายถึงสถานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่นำเสนอนี้อาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหรือสภาวะแวดล้อมที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ฉะนั้นจึงใคร่ขอให้นักลงทุนใช้วิจารณญาณในการพิจารณาใช้ประโยชน์จากเอกสารข้อมูลนี้ และหากมีคำถามหรือข้อสงสัยประการใดกรุณาติดต่อสอบถามได้ที่ ส่วนนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) โทร. 02-998-5145-7 หรือ email : ir@egco.com บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร 1. บทสรุปผู้บริหาร บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก ดำเนินธุรกิจในรูปบริษัทโฮลดิ้ง ที่มีการ ลงทุนในบริษัทย่อย และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าต่างๆ ทั้งนี้ในปี 2551 ได้มีการขายหุ้นของ บริษัท อมตะ-เอ็กโก เพาเวอร์ จำกัด (เออีพี) บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด (เอพีบีพี) และ บริษัท อมตะ เพาเวอร์-เอสโก เซอร์วิส จำกัด (อเมสโก) ออกไป และมีการซื้อหุ้นของ บริษัท เคซอน เพาเวอร์ (ฟิลิปปินส์) จำกัด (เคซอน) ซึ่งสามารถจัดบริษัทย่อย และส่วนได้เสียใน กิจการร่วมค้าต่างๆ ตามประเภทการลงทุนได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าระยอง จำกัด (บฟร.) บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด (บฟข.) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด (บีแอลซีพี) และ บริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจี) 2. ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ได้แก่ บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (จีอีซี) (ไม่รวม จีพีจี) บริษัท เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (เอ็กโก โคเจน) และ บริษัท ร้อยเอ็ด กรีน จำกัด (ร้อยเอ็ด กรีน) 3. ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ ได้แก่ บริษัท โคแนล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (โคแนล) บริษัท น้ำเทิน 2 เพาเวอร์ จำกัด (เอ็นทีพีซี) และ เคซอน 4. ธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ บริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (เอสโก) และ บริษัท เอ็กคอมธารา จำกัด (เอ็กคอมธารา) โดยรวมแล้วกลุ่มเอ็กโก (อันหมายถึง เอ็กโก บริษัทย่อย และส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า)/1 มีโรงไฟฟ้าจำนวน 13 โรง คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมจำนวน 3,980.7 เมกะวัตต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2551 จำนวน 13.1 เมกะวัตต์ เนื่องจากการซื้อหุ้นของ เคซอน (ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังผลิตติดตั้ง 502.5 เมกะวัตต์) เพิ่มในสัดส่วนร้อยละ 2.6 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 รวมเป็นถือหุ้นใน เคซอน ร้อยละ 26 /1 บริษัทย่อย ได้แก่ บฟร. บฟข. เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน เอสโก และ เอ็กคอมธารา ส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ได้แก่ บีแอลซีพี จีพีจี จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) โคแนล เอ็นทีพีซี และ เคซอน ผลการดำเนินงานของกลุ่มเอ็กโก ประจำงวด 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,239 ล้านบาท ลดลง 578 ล้านบาท หรือร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 และหากไม่คำนึงถึงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของกลุ่มเอ็กโก เนื่องจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวเลขทางบัญชี ที่แสดงเพื่อให้เป็นไปตาม มาตรฐานการบัญชีไทย ในงวด 3 เดือน ปี 2552 กลุ่มเอ็กโกจะมีกำไรจำนวน 2,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ จีพีจี ที่เพิ่มขึ้น จากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 โรงที่ 2 ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 อีกทั้งการรับรู้ผลการดำเนินงานของ เคซอน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า การลดลงของรายได้ค่าไฟฟ้า บฟข. จากอัตราค่าไฟที่ลดลง 2. การวิเคราะห์ผลการปฏิบัติตามแผนการดำเนินธุรกิจ เอ็กโกเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 ในลักษณะบริษัทโฮลดิ้ง ปัจจุบันมีการลงทุนในบริษัทย่อย และกิจการ ร่วมค้าต่างๆ เอ็กโกดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่า ?เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจผลิต ไฟฟ้าครบวงจรและครอบคลุมถึงธุรกิจการให้บริการด้านพลังงานทั้งในประเทศไทยและ ภูมิภาคอาเซียนด้วยความมุ่งมั่นที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม? เอ็กโกดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และหาโอกาสในการ ลงทุนในธุรกิจพลังงานทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยมีเป้าหมายในการหา ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นโดยการบริหารจัดการโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ตลอดจนการสรรหาโครงการที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต และอยู่ในระดับ ความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ คือต้องไม่ต่ำกว่าต้นทุนของเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ประเทศไทยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมจำนวน 28,479 เมกะวัตต์/2 และความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2552 ที่ 21,318 เมกะวัตต์/2 ซึ่งต่ำกว่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนของปี 2551 คิดเป็นร้อยละ 5.54 /2 ที่มา: กฟผ. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติ เห็นชอบแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2551-2564 หรือแผน พีดีพี 2007 (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยมีสาระสำคัญ เช่น การปรับเลื่อนการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ที่ผ่าน การคัดเลือกแล้ว 2 โครงการออกไปอีก 1 ปี กำหนดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าใหม่ภาคใต้ที่อำเภอ ขนอมในปี 2559 หลังจากที่สัญญาของโรงไฟฟ้าขนอมจะหมดอายุปี 2559 ปรับปรุงกำหนด การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (เอสพีพี) ให้เร็วขึ้น ทบทวนปรับลด การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และปรับลดกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เป็นปีละ 1,000 เมกะวัตต์ ในปี 2563-2564 เป็นต้น สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจ กลุ่มเอ็กโกได้ปรับกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนไป ยังโรงไฟฟ้าในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น ตลอดจนลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง และโครงการอื่นๆ ภายในประเทศไทยที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรักษาส่วนแบ่ง ตลาดในฐานะบริษัทชั้นนำทางด้านพลังงาน และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะการเงินและ ผลการดำเนินงานให้กับกลุ่มเอ็กโก อย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 กลุ่มเอ็กโก มีกำลังผลิตติดตั้งที่ดำเนินการแล้วจำนวน 3,980.7 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้า 13 โรง ในจำนวนนี้ เอ็กโกได้จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นจำนวน 3,589.5 เมกะวัตต์คิดเป็นร้อยละ 12.60 ของ กำลังผลิตติดตั้งรวมของประเทศ โดยกำลังผลิตติดตั้งส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าของ บฟร. กำลังผลิตติดตั้ง 1,232 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าของ บฟข. กำลังผลิตติดตั้ง 824 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งสองโรงดังกล่าวใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และมีกำลังผลิตติดตั้ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.65 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมของกลุ่มเอ็กโก นอกจากนี้กลุ่มเอ็กโก มีกำลังผลิตติดตั้งจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี รวม 1,434 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 หรือ จำนวน 717 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.01 ของกำลังผลิตติดตั้งรวมของกลุ่มเอ็กโก โครงการดังกล่าวตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง โดยใช้ถ่านหินคุณภาพดีนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียเป็นเชื้อเพลิง อีกทั้งกลุ่มเอ็กโก ยังมีกำลังผลิตติดตั้งจากโครงการแก่งคอย 2 รวม 1,510 เมกะวัตต์ ในสัดส่วนร้อยละ 50 (เอ็กโก ถือหุ้นร้อยละ 50 ใน จีอีซี ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ดูแลโครงการคือ จีพีจี ร้อยละ 99.99) หรือ 755 เมกะวัตต์ โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 18.97 ของ กำลังผลิตติดตั้งรวมของกลุ่มเอ็กโก โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 2 ชุด (โรงที่ 1 และโรงที่ 2) มีกำลังผลิตติดตั้งชุดละ 755 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2552 บริษัท เอ็กโก อินเตอร์เนชั่นแนล บี.วี.ไอ. จำกัด (เอ็กโก บีวีไอ) ซึ่งเป็นบริษัทที่เอ็กโกถือหุ้นร้อยละร้อย ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท GPI-I Ltd. (GPI-I) จากบริษัท GPSF Cayman I LDC โดยที่ GPI-I ถือหุ้นโดยอ้อมใน เคซอน ในสัดส่วน ร้อยละ 2.6 ทั้งนี้ เคซอน เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 502.5 เมกะวัตต์ รวมทั้งสายส่ง และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องในเมืองเคซอน สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การซื้อหุ้นครั้งนี้ ทำให้ เอ็กโก บีวีไอ ถือหุ้นโดยอ้อมใน เคซอน เพิ่มจากร้อยละ 23.4 เป็นร้อยละ 26 คิดเป็น กำลังผลิตติดตั้งรวม 130.7 เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกัน เอ็กโก ยังถือหุ้นในโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คิดเป็นกำลังผลิตติดตั้งในส่วนการถือหุ้นของ เอ็กโก จำนวนรวม 271.7 เมกะวัตต์ โดย โครงการน้ำเทิน 2 (เอ็กโก ถือหุ้นร้อยละ 25 ในเอ็นทีพีซี ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการ) ผลิต กระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีกำลังผลิต ติดตั้ง 1,086.8 เมกะวัตต์ และกำหนดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม ปี 2552 โดย มีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. จำนวน 995 เมกะวัตต์ และขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือให้กับ รัฐบาลลาว ความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2552 อยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 97 ในส่วนนโยบายการจ่ายเงินปันผลนั้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิงบการเงินรวมหลังหักภาษีเงินได้ หรือ ในจำนวนที่ทยอย เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นใด เช่น การขยายธุรกิจของบริษัทในโครงการ ต่าง ๆ ในอนาคต หรือการจ่ายเงินปันผลที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของบริษัทอย่าง มีสาระสำคัญโดยการจ่ายเงินปันผลต้องไม่เกินกว่ากำไรสะสมของงบการเงินเฉพาะกิจการ 3. รายงานและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน ฝ่ายบริหารขอแสดงรายงานวิเคราะห์งบการเงินรวมของ เอ็กโก บริษัทย่อย และ ส่วน ได้เสียในกิจการร่วมค้า เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมที่ชัดเจนของผลการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 สรุปผลการดำเนินงาน หน่วย : ล้านบาท กำไร 3 เดือน ปี 2552 กำไร 3 เดือน ปี 2551 ก่อน FX หลัง FX ก่อน FX หลัง FX เอ็กโก (24) (24) (43) (43) ธุรกิจไอพีพี 2,059 1,884 1,935 2,678 ธุรกิจเอสพีพี 163 137 168 341 ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ 105 185 (6) (237) ธุรกิจอื่นๆ 57 58 88 78 รวม 2,360 /3 2,239 2,143 /3 2,817 หมายเหตุ:- กำไรก่อน FXได้แยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้าออก - ไอพีพี ประกอบด้วย บฟร. บฟข. บีแอลซีพี จีพีจี - เอสพีพี ประกอบด้วย จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) เอ็กโก โคเจน ร้อยเอ็ด กรีน เอพีบีพี เออีพี - ต่างประเทศ ประกอบด้วย โคแนล เอ็นทีพีซี เคซอน - อื่นๆ ประกอบด้วย เอสโก เอ็กคอมธารา อเมสโก - ได้ขาย เอพีบีพี เออีพี และ อเมสโก ในเดือนพฤษภาคม 2551 และซื้อ เคซอน ในเดือนพฤศจิกายน 2551 /3 กำไรก่อน FX ที่แสดงในที่นี้แตกต่างจากกำไรก่อน FX ที่คำนวณได้จากงบการเงินรวม เนื่องจากรายการกำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยนในงบการเงินรวมมาจาก FX ของ เอ็กโก และบริษัทย่อย ส่วน FX ของกิจการร่วมค้า จะแสดงรวมอยู่ในรายการส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน) ในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ผลการดำเนินงานของกลุ่มเอ็กโก ประจำงวด 3 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีกำไรก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนของกลุ่มเอ็กโก จำนวน 2,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217 ล้านบาท หรือร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 โดยสาเหตุหลักเกิดจากรายได้ ค่าไฟฟ้าของ จีพีจี เพิ่มขึ้น จากโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 โรงที่ 2 ซึ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 และการรับรู้ผลการดำเนินงานของ เคซอน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ในขณะที่รายได้ค่าไฟฟ้า บฟข. ลดลงจากอัตราค่าไฟที่ลดลง หากคำนึงถึงผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดจากการอ่อนตัวของค่าเงินบาท กำไรของกลุ่มเอ็กโก ประจำงวด 3 เดือน ปี 2552 จะเป็นจำนวน 2,239 ล้านบาท ลดลง 578 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2551 เนื่องจากกลุ่มเอ็กโกมี ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 121 ล้านบาท ในขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2551 มีกำไร จากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 674 ล้านบาท ซึ่งก่อให้เกิดความแตกต่างที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 795 ล้านบาท ทั้งนี้กำไร (ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นตัวเลขทางบัญชี เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีไทยซึ่งเกิดขึ้นจากผลต่างของการแปลง มูลค่าหนี้คงค้างสุทธิ เฉพาะที่เป็นเงินตราสกุลต่างประเทศกลับมาเป็นเงินตราสกุลบาท ณ วันสิ้นสุดงวดของบัญชีปัจจุบัน (วันที่ 31 มีนาคม 2552) กับงวดก่อนหน้านี้ (วันที่ 31 ธันวาคม 2551) โดยขาดทุนจากอัตรา แลกเปลี่ยนในงวด 3 เดือน ปี 2552 จำนวน 121 ล้านบาท แบ่งเป็น - ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเอ็กโก และบริษัทย่อย จำนวน 0.24 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 49 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมี กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 49 ล้านบาท - ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของกิจการร่วมค้า จำนวน 121 ล้านบาท ขาดทุน เพิ่มขึ้น 746 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 ซึ่งมีกำไรจาก อัตราแลกเปลี่ยน จำนวน 625 ล้านบาท กำไร (ขาดทุน) จาก FX ของกิจการร่วมค้า: หน่วย : ล้านบาท 3M52 3M51 บีแอลซีพี (93) 504 จีพีจี (73) 209 จีอีซี (ไม่รวมจีพีจี) (34) 134 เอพีบีพีและเออีพี* - 10 โคแนล 7 4 เอ็นทีพีซี 72 (235) เคซอน 1 - รวมกำไร (ขาดทุน) จาก FX (121) 625 * ได้ขาย เอพีบีพี และ เออีพี ในเดือนพฤษภาคม 2551 นอกจากนี้หากไม่คำนึงถึงขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 121 ล้านบาท ค่าใช้จ่าย ทางการเงินจำนวน 692 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 276 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่า ตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,190 ล้านบาท กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายทางการเงิน ภาษี ค่าเสื่อม ราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ (EBITDA) ของกลุ่มเอ็กโก สำหรับงวด 3 เดือน ปี 2552 จะเป็น จำนวน 4,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 382 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับ EBITDA ของ กลุ่มเอ็กโก ในช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2551 จำนวน 4,137 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมผลกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยนของกลุ่มเอ็กโก จำนวน 674 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายทางการเงินจำนวน 640 ล้านบาท ภาษีเงินได้จำนวน 240 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่างๆ จำนวน 1,115 ล้านบาท กำไรขั้นต้นของเอ็กโกและบริษัทย่อย จำนวน 1,019 ล้านบาท ลดลง 325 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24 สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟข. ที่ลดลงจากอัตราค่าไฟซึ่งเป็นไปตาม สัญญาซื้อขายไฟฟ้า กำไรจากการดำเนินงานของเอ็กโกและบริษัทย่อย จำนวน 990 ล้านบาท ลดลง 332 ล้านบาท หรือร้อยละ 25 โดยมีสาเหตุหลักเช่นเดียวกับการลดลงของกำไรขั้นต้น และจาก ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน อัตราส่วนแสดงความสามารถในการหากำไร (Profitability Ratio) มีดังนี้ - อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับร้อยละ 43.02 - อัตรากำไรจากการดำเนินงานเท่ากับร้อยละ 41.77 - อัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 54.12 - อัตรากำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของเอ็กโกและบริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 54.13 - กำไรสุทธิ ต่อหุ้น เท่ากับ 4.25 บาท - กำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโกและบริษัทย่อย) ต่อหุ้นเท่ากับ 4.25 บาท - อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเท่ากับร้อยละ 4.85 อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 43.02 นั้นต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 ซึ่งเท่ากับ ร้อยละ 48.91 เนื่องจากกำไรขั้นต้นของ บฟข. ลดลง สาเหตุหลักจากรายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลง และอัตรากำไรสุทธิ (ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนของ เอ็กโก และบริษัทย่อย) เท่ากับร้อยละ 54.13 ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 ซึ่งเท่ากับร้อยละ 58.21 สาเหตุหลักจาก ส่วนแบ่งกำไรในส่วนได้เสียจากกิจการร่วมค้าของ บีแอลซีพี ที่ลดลง จากขาดทุนจากอัตรา แลกเปลี่ยน 3.2 การวิเคราะห์รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ผลการดำเนินงานประจำงวด 3 เดือน ปี 2552 ที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ของกลุ่มเอ็กโก (FX) และกำไรสุทธิของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (MI) เป็นดังนี้ - รายได้รวมของ เอ็กโก และบริษัทย่อย จำนวน 2,521 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลา เดียวกันของปีก่อน จำนวน 360 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 - ค่าใช้จ่ายรวมของ เอ็กโก และบริษัทย่อย จำนวน 1,864 ล้านบาท ลดลงจาก ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 84 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 - ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 1,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 487 ล้านบาท หรือร้อยละ 39 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2551 โดยมีรายละเอียดแบ่งตามกลุ่มธุรกิจดังต่อไปนี้ รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า หน่วย : ล้านบาท เอ็กโก ไอพีพี เอสพีพี 3M52 3M51 3M52 3M51 3M52 3M51 รายได้รวม 124 112 1,590 1,901 581 556 ค่าใช้จ่ายรวม 148 154 1,060 1,127 498 452 กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า (24) (42) 530 774 83 104 ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - 1,529 1,162 103 91 กำไรสุทธิก่อน FX และ MI (24) (42) 2,059 1,936 186 195 ต่างประเทศ อื่นๆ รวม 3M52 3M51 3M52 3M51 3M52 3M51 รายได้รวม - - 226 313 2,521 2,881 ค่าใช้จ่ายรวม - - 157 215 1,864 1,948 กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - 69 98 658 933 ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 105 (6) - 2.41 1,737 1,249 กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 105 (6) 69 100 2,395 2,182 1) เอ็กโก มีรายได้รวมในงวด 3 เดือน ปี 2552 จำนวน 124 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลา เดียวกันปี 2551 จำนวน 13 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 สาเหตุหลักมาจากดอกเบี้ยรับ จำนวน 31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12 ล้านบาท หรือร้อยละ 64 เนื่องจากจำนวนเงินฝากที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายรวมของ เอ็กโก จำนวนทั้งสิ้น 148 ล้านบาท ลดลง 6 ล้านบาท หรือร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง 27 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่าย ทางการเงินเพิ่มขึ้น 21 ล้านบาท เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจากการเบิกเงินกู้ระยะสั้น จำนวน 3,500 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 2) ธุรกิจไอพีพี มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,590 ล้านบาท ลดลง 311 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16 เมื่อ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ปี 2551 ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 1,060 ล้านบาท ลดลง 67 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 6 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า จำนวน 1,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 367 ล้านบาท หรือร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ รายได้ ค่าใช้จ่าย และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้าของธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท บฟร. บฟข. บีแอลซีพี 3M52 3M51 3M52 3M51 3M52 3M51 รายได้รวม 950 967 639 934 - - ค่าใช้จ่ายรวม 602 565 458 562 - - กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า 349 402 181 372 - - ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า - - - - 971 873 กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 349 402 181 372 971 873 จีพีจี รวม 3M52 3M51 3M52 3M51 %เปลี่ยนแปลง รายได้รวม - - 1,590 1,901 (16%) ค่าใช้จ่ายรวม - - 1,060 1,127 (6%) กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน) จากกิจการร่วมค้า - - 530 774 (32%) ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)จากกิจการร่วมค้า 558 288 1,529 1,162 32% กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 558 288 2,059 1,935 6% * รายได้ค่าไฟฟ้าของธุรกิจไอพีพี จำนวน 1,570 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 จำนวน 318 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 เนื่องจากรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟข. จำนวน 635 ล้านบาท ลดลง 292 ล้านบาท สาเหตุหลักจากอัตราค่าไฟฟ้า (Base Availability Credit) ที่ ลดลง อีกทั้งรายได้ค่าไฟฟ้าของ บฟร. จำนวน 935 ล้านบาท ลดลง 26 ล้านบาท เนื่องจากอัตรา ค่าไฟฟ้าที่ลดลง (Capacity Rate) ทั้งนี้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสูตรค่าพลังไฟฟ้า ในลักษณะ ต้นทุนบวกกำไรส่วนเพิ่ม (Cost Plus) ที่ให้แก่ผู้ประกอบการภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) และเป็นไปตามที่ได้ประมาณการไว้แล้ว รายได้ค่าไฟฟ้าธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 3M52 3M51 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 935 961 (3%) บฟข. 635 927 (32%) รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-ไอพีพี 1,570 1,888 (17%) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าในแต่ละปีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ คือ ค่าชำระหนี้และค่าบำรุงรักษาหลัก ซึ่งจะใช้อัตราดังกล่าวตามที่ได้ตกลงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใน การคำนวณค่าไฟฟ้าในแต่ละงวด นอกจากนั้น ในการคำนวณรายได้ค่าความพร้อมจ่ายพลังไฟฟ้า ได้รับการปรับเพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับภาระค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงิน และค่าอะไหล่ที่ใช้ในการบำรุงรักษาหลักที่เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง บฟร. และ บฟข. จะได้รับการ ชดเชยทุกเดือนตามงวดกำหนดชำระค่าไฟฟ้า โดยจะได้รับค่าพลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากที่เคยกำหนดไว้ใน สัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนการเพิ่มเติมเงื่อนไขการปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ และได้รับค่าพลังไฟฟ้าลดลงเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนต่ำกว่าระดับ 28 บาท ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ในงวด 3 เดือน ปี 2552 รายได้ค่าไฟฟ้าจาก บฟร. และ บฟข.ได้รวม ส่วนค่าไฟฟ้าที่ได้รับชดเชยผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงิน 61 ล้านบาท * รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 53 สาเหตุหลักจาก บฟร. มีรายได้อื่นๆเพิ่มขึ้น จำนวน 9 ล้านบาท จากรายได้ค่าบริหาร จัดการสิ่งแวดล้อม ในขณะที่ดอกเบี้ยรับของ บฟข. ลดลง 3 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเงินฝากที่ ลดลง * ต้นทุนขาย จำนวน 756 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2551 จำนวน 40 ล้าน บาท หรือ ร้อยละ 5 จากต้นทุนขายของ บฟข. ที่ลดลง จำนวน 39 ล้านบาท เนื่องจากมี ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาหลัก และค่าน้ำมันเตาสูงในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ต้นทุนขายธุรกิจไอพีพี: หน่วย : ล้านบาท 3M52 3M51 %เปลี่ยนแปลง บฟร. 431 431 0% บฟข. 325 364 (11%) รวมต้นทุนขาย-ไอพีพี 756 796 (5%) * ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 241 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อน จำนวน 9 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 4 สาเหตุหลักจากภาษีเงินได้ของ บฟร. เพิ่มขึ้น (ยังมีต่อ)