11 พฤษภาคม 2553
บทรายงานและการวิเคราะห์ของฝ่ายบริหาร ไตรมาส 1/2553
รายได้รวม - - 573 581 (1%)
ค่าใช้จ่ายรวม - - 480 498 (4%)
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน) - - 93 83 (12%)
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX (5) - 65 103 (37%)
กำไรสุทธิก่อน FX และ MI (5) - 158 186 (15%)
* รายได้ค่าไฟฟ้าของธุรกิจเอสพีพี เป็นจำนวนรวม 571 ล้านบาท ลดลง 7 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 1 ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าไฟฟ้า ของ เอ็กโกโคเจน ที่ขายให้ กฟผ. ลดลง เนื่องจาก
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง
รายได้ค่าไฟฟ้าธุรกิจเอสพีพี:
หน่วย : ล้านบาท
3M53 3M52 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโกโคเจน 493 500 (1%)
ร้อยเอ็ดกรีน 78 78 0.02%
รวมรายได้ค่าไฟฟ้า-เอสพีพี 571 578 (1%)
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 2 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท หรือร้อยละ
28 สาเหตุหลักเกิดจากดอกเบี้ยรับที่ลดลง
* ต้นทุนขาย จำนวน 451 ล้านบาท ลดลง 16 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 สาเหตุหลักจากต้นทุน
ขายของ เอ็กโกโคเจน ลดลง 22 ล้านบาท เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุน
ขายของ ร้อยเอ็ดกรีน เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท จากราคาแกลบที่เพิ่มขึ้น
ต้นทุนขายธุรกิจเอสพีพี:
หน่วย : ล้านบาท
3M53 3M52 %เปลี่ยนแปลง
เอ็กโกโคเจน 411 433 (5%)
ร้อยเอ็ดกรีน 40 34 17%
รวมต้นทุนขาย-เอสพีพี 451 467 (3%)
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 10 ล้านบาท ไม่แตกต่างจากช่วงเวลาเดียวกันของ
ปีก่อน
* ค่าใช้จ่ายทางการเงิน จำนวน 19 ล้านบาท ลดลง 2 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 11
* ส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX คือ จีซีซี เอ็นเคซีซี เอสซีซี จีวายจี
และ เอ็นอีดี จำนวน 65 ล้านบาท ลดลง 38 ล้านบาท หรือร้อยละ 37 สาเหตุหลักจากค่าใช้จ่าย
ภาษีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลของ เอ็นเคซีซี ได้สิ้นสุดลง และกำไรที่
เพิ่มขึ้นของ จีซีซี และ เอสซีซี
4) ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ มีส่วนแบ่งผลกำไรในส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้าก่อน FX
คือ โคแนล เอ็นทีพีซี และ เคซอน จำนวน 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท สาเหตุหลักเกิด
จากรายได้ค่าไฟฟ้าของ เอ็นทีพีซี ที่เพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ก่อนกำหนด อีกทั้ง
โคแนล มีส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนวิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
5) ธุรกิจอื่นๆ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 185 ล้านบาท ลดลง 41 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 18
ค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 134 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 15 โดยมีรายละเอียด
ดังต่อไปนี้
รายได้รวม ค่าใช้จ่ายรวม และส่วนแบ่งผลกำไร (ขาดทุน)ในกิจการร่วมค้าก่อน FX ของธุรกิจอื่นๆ:
หน่วย : ล้านบาท
เอสโก เอ็กคอมธารา/5 รวม
3M53 3M52 3M53 3M52 3M53 3M52 %การเปลี่ยนแปลง
รายได้รวม 121 160 64 66 185 226 (18%)
ค่าใช้จ่ายรวม 102 130 32 27 134 157 (15%)
กำไรก่อนส่วนแบ่งผลกำไร
(ขาดทุน) 19 30 32 39 51 69 (26%)
ส่วนแบ่งผลกำไร(ขาดทุน)
ในกิจการร่วมค้าก่อน FX - - - - - - -
กำไรสุทธิก่อน FX และ MI 19 30 32 39 51 69 (26%)
/5 เอสโกซื้อหุ้นเพิ่มใน เอ็กคอมธารา ในเดือนมกราคม 2553 ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น
ร้อยละ 74.19
* รายได้ค่าบริการ ของเอสโก จำนวน 120 ล้านบาท ลดลง 37 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 24
สาเหตุหลักจากรายได้การให้บริการบำรุงรักษาและรายได้จากการขายอุปกรณ์เครื่องจักรในการ
ผลิตไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าต่างประเทศลดลง
* รายได้ค่าน้ำ ของเอ็กคอมธารา จำนวน 64 ล้านบาท ลดลง 1 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 2
* รายได้จากดอกเบี้ยรับและรายได้อื่นๆ จำนวน 2 ล้านบาท ลดลง 2 ล้านบาท หรือร้อยละ
56 จากรายได้อื่นๆของ เอสโก ที่ลดลง
* ต้นทุนบริการ จำนวน 82 ล้านบาท ลดลง 28 ล้านบาท หรือร้อยละ 26 ซึ่งสัมพันธ์กับรายได้
ที่ลดลง
* ต้นทุนขายน้ำประปา จำนวน 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาท หรือร้อยละ 9
* ค่าใช้จ่ายในการบริหารและภาษี จำนวน 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 12
สาเหตุหลักจากภาษีเงินได้ของ เอ็กคอม ธารา ที่เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาท เนื่องจากการยกเว้นภาษี
เงินได้นิติบุคคลได้สิ้นสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552
4. รายงานและวิเคราะห์ฐานะการเงิน
4.1 การวิเคราะห์สินทรัพย์
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 เอ็กโก บริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า มีสินทรัพย์รวม
จำนวน 64,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,637 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 โดยมี
รายละเอียดสำคัญดังนี้
1) เงินสด เงินฝากสถาบันการเงิน เงินลงทุนในหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ทั้งระยะ
สั้นและระยะยาว จำนวน 9,606 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น
1,683 ล้านบาท หรือร้อยละ 21 สาเหตุหลักจากได้รับเงินปันผลจากกิจการร่วมค้า 1,300 ล้าน
บาท และได้เงินสดรับจากการดำเนินงาน 613 ล้านบาท ในขณะที่มีการจ่ายชำระเงินต้น
และดอกเบี้ยของเงินกู้ 180 ล้านบาท และลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 28 ล้านบาท
2) เงินลงทุนระยะสั้นและระยะยาวที่ใช้เป็นหลักประกัน จำนวน 1,315 ล้านบาท คิดเป็น
สัดส่วนร้อยละ 2 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 368 ล้านบาท หรือร้อยละ 39 สาเหตุหลักจากการ
สำรองเงินไว้สำหรับการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระคืนของ บฟข.
3) เงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 ส่วนได้
เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยวิธีส่วนได้เสียตามงบการเงินรวม มีมูลค่าตามบัญชี เท่ากับ
29,274 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 ของสินทรัพย์รวม เพิ่มขึ้น 745 ล้านบาท หรือร้อยละ
3 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่
3.1) การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย จำนวน 1,585 ล้าน
บาท
3.2) ได้รับเงินปันผลจาก บีแอลซีพี และ โคแนล จำนวน 656 ล้านบาท
3.3) การรับเงินคืนจาก Lao Holding State Enterprise (LHSE) ที่ เอ็กโกได้
ชำระเงินลงทุนครั้งแรกใน เอ็นทีพีซี แทน จำนวน 4 ล้านบาท
3.4) กำไรจากการแปลงค่างบการเงินของบริษัทที่อยู่ในต่างประเทศ จำนวน 180 ล้าน
บาท
สำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยและส่วนได้เสียในกิจการร่วมค้า ซึ่งบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม
เป็นราคาเริ่มต้น ตามงบการเงินเฉพาะบริษัท มีมูลค่าตามบัญชี ณ 31 มีนาคม 2553 เท่ากับ
32,216 ล้านบาท ลดลง 4 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุหลักจากการรับคืนเงินจาก LHSE ที่ เอ็กโก ได้
ชำระเงินลงทุนใน เอ็นทีพีซี แทน
4) ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ (สุทธิ) จำนวน 14,618 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23
ของสินทรัพย์รวม ลดลงสุทธิทั้งสิ้น 450 ล้านบาท หรือร้อยละ 3 สินทรัพย์ที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก
การตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ เอ็กโก และบริษัทย่อยอื่นๆ จำนวน 545 ล้านบาท และการ
โอนวัสดุสำรองหลักที่ถูกเปลี่ยนแทนออกไปยังวัสดุสำรองคลังของ โรงไฟฟ้าระยอง และ บฟข.
จำนวน 22 ล้านบาท ในขณะที่มีการบันทึกวัสดุสำรองหลักเป็นสินทรัพย์เนื่องจากการซ่อม
บำรุงรักษาของ บฟข. และ โรงไฟฟ้าระยอง จำนวน 95 ล้านบาท และซื้อสุทธิของที่ดิน อาคาร
และอุปกรณ์ 22 ล้านบาท
5) สินทรัพย์อื่นๆ จำนวน 9,744 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวม ลดลง
709 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 สาเหตุหลักจากเงินปันผลค้างรับจากบีแอลซีพี ลดลง 772 ล้านบาท
4.2 การวิเคราะห์หนี้สิน
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 กลุ่มเอ็กโกมีหนี้สินรวม จำนวน 11,562 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี
2552 จำนวน 264 ล้านบาท หรือร้อยละ 2 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1) เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ จำนวน 10,596 ล้านบาท หรือร้อยละ 92 ของหนี้สินรวม
ลดลง 120 ล้านบาท หรือร้อยละ 1 สาเหตุหลักเกิดจากการชำระหนี้เงินกู้ของ เอ็กโกโคเจน
และร้อยเอ็ดกรีน โดยมีรายละเอียดเป็นเงินตราสกุลต่างๆ ดังนี้
- เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เงินกู้สกุลเยน จำนวน 616 ล้านเยน
- เงินกู้สกุลบาท จำนวน 8,507 ล้านบาท
- หุ้นกู้สกุลบาท จำนวน 1,410 ล้านบาท
กำหนดชำระคืนเงินกู้ระยะยาวและหุ้นกู้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553
หน่วย : ล้านบาท
กำหนดชำระคืน เอ็กโก บฟข. เอ็กโกโคเจน ร้อยเอ็ดกรีน
ภายใน 1 ปี - 913 179 35
1-5 ปี 4,000 497 791 144
เกินกว่า 5 ปี 4,000 - - 36
รวม 8,000 1,410 970 216
ทั้งนี้เงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ค้ำประกันโดยการจำนองที่ดิน อาคาร โรงไฟฟ้า และ
เครื่องจักรของบริษัทย่อย นอกจากนี้บริษัทย่อยได้กันเงินสำรองเพื่อการชำระคืนเงินต้นและจ่าย
ดอกเบี้ยที่จะครบกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 มีจำนวนรวม 463
ล้านบาท
2) หนี้สินอื่นๆ จำนวน 966 ล้านบาท หรือร้อยละ 8 ของหนี้สินรวม ลดลง 144 ล้านบาท หรือ
ร้อยละ 13 สาเหตุหลักเนื่องจากโบนัสค้างจ่ายของ เอ็กโก โรงไฟฟ้าระยอง และ บริษัทย่อย
ลดลง 190 ล้านบาท ขณะที่ดอกเบี้ยค้างจ่ายของ บฟข.และ เอ็กโก เพิ่มขึ้น 66 ล้านบาท
4.3 การวิเคราะห์ส่วนของผู้ถือหุ้น
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 ส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 52,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี
2552 จำนวน 1,901 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 เนื่องจากปัจจัยหลักคือ กำไรสุทธิจากผลการ
ดำเนินงานตามงบการเงินรวม จำนวน 2,071 ล้านบาท
จากการวิเคราะห์โครงสร้างของเงินทุน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 สรุปได้ดังนี้
- ส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 52,995 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 82.09
- หนี้สิน จำนวน 11,562 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17.91
สามารถคำนวณหา อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ได้ดังนี้
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เท่ากับ 0.22 เท่า ต่ำกว่าสิ้นปี 2552 ซึ่งเท่ากับ
0.23 เท่า
- มูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 99.64 บาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552
ซึ่งอยู่ที่ระดับ 96.06 บาท
5. รายงานการวิเคราะห์กระแสเงินสด
งบกระแสเงินสดแสดงกระแสเงินสดที่เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน
และกิจกรรมจัดหาเงิน ณ สิ้นงวดบัญชี และแสดงเงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือสิ้นงวด
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 เงินสดและรายการเทียบเท่าคงเหลือ มีจำนวน 7,553 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2552 ทั้งสิ้น 1,698 ล้านบาท ซึ่งมีรายละเอียดของแหล่งที่มาและแหล่งที่ใช้ไป
ของเงินดังต่อไปนี้
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 613 ล้านบาท มาจากเงินสดที่ได้มาจาก
การดำเนินงาน 1,250 ล้านบาท และเงินสดใช้ไปสำหรับเงินทุนหมุนเวียน 637 ล้านบาท
- เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมลงทุน จำนวน 1,264 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจาก
ได้รับเงินปันผลจาก บีแอลซีพี 1,300 ล้านบาท ในขณะที่ลงทุนเพิ่มในเอ็กคอมธารา จำนวน 28
ล้านบาท
- เงินสดสุทธิที่ใช้ไปสำหรับกิจกรรมจัดหาเงิน จำนวน 180 ล้านบาท เกิดจากการชำระคืน
เงินกู้ เอ็กโกโคเจน และ ร้อยเอ็ดกรีน รวมทั้งสิ้น 96 ล้านบาท และการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จำนวน
83 ล้านบาท
ในงวด 3 เดือน ปี 2553 บผฟ. มีอัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratio) ที่สำคัญ ดังนี้
- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) อยู่ที่ 9.64 เท่า เทียบกับปี 2552 ซึ่งเท่ากับ
8.30 เท่า
- อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio) อยู่ที่ 5.73 เท่า เทียบกับปี 2552
ซึ่งเท่ากับ 4.35 เท่า
สาเหตุหลักที่อัตราส่วนทั้งสองของปี 2553 สูงกว่าปี 2552 เนื่องจากได้รับเงินปันผลจาก
บีแอลซีพี จำนวน 1,300 ล้านบาท