เอ็กโก กรุ๊ป เผยกำไรสุทธิ Q1/65 กว่า 4,100 ล้านบาท เติบโต 603% สะท้อนพอร์ตโฟลิโอมั่นคง มุ่งต่อยอดสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน

ข่าวสารและความเคลื่อนไหว

เอ็กโก กรุ๊ป เผยกำไรสุทธิ Q1/65 กว่า 4,100 ล้านบาท เติบโต 603% สะท้อนพอร์ตโฟลิโอมั่นคง มุ่งต่อยอดสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน

26 พฤษภาคม 2565

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิกว่า 4,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 603% ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกและราคาเชื้อเพลิงที่ผันผวน ตอกย้ำความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินเครื่องเต็มสูบรุกธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน 

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป มีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการ ตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า)  4,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,423 ล้านบาท หรือคิดเป็น 116% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,530 ล้านบาท หรือคิดเป็น 603% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 

ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งดังกล่าวมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้า “พาจู อีเอส” ประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้เริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับพาจู อีเอสเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพและมีการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงที่ดี รวมทั้งการรับรู้รายได้จากการลงทุนในโรงไฟฟ้า “ลินเดน โคเจน” และ “เอเพ็กซ์ คลีนเอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” ประเทศสหรัฐอเมริกา 

สำหรับความเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่สำคัญของเอ็กโก กรุ๊ป ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพันธมิตรเพื่อร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาธุรกิจ LNG และขยายโอกาสการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป เล็งเห็นศักยภาพของไฮโดรเจนที่จะเป็นเชื้อเพลิงหลักในอนาคตและจะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมพลังงานโลกเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ จึงร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญศึกษาการลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ในอนาคต

“ผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง เป็นผลมาจากนโยบายของบริษัทในการสร้างความสมดุลของพอร์ตโฟลิโอธุรกิจไฟฟ้า ทั้งความหลากหลายของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าและการกระจายการลงทุนใน 8 ประเทศ ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพ พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม รวมทั้งการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าให้เกิดความสมดุลและสอดคล้องกับต้นทุนเชื้อเพลิง ดังนั้น ต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นจากวิกฤตพลังงานโลก อันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัท” นายเทพรัตน์กล่าว

ในปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป ครบรอบการดำเนินงาน 30 ปี ซึ่งบริษัทมีรากฐานที่มั่นคงจากกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจกลางน้ำ และปัจจุบันขยายสู่กลุ่มธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ และต่อยอดสู่กลุ่มธุรกิจปลายน้ำ ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานครบวงจรชั้นนำ เอ็กโก กรุ๊ป จะขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์ “EGCO” ได้แก่ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งพลังงานดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียน (Enhance existing business) การสร้างความเติบโตและแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง (Grow and seek for energy-related business) การดำเนินงานภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Corporate governance consistency) และการบริหารจัดการองค์กรที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศในทุกด้าน (Operational excellence) 

“เอ็กโก กรุ๊ป เติบโตอย่างแข็งแกร่งตลอดเส้นทางการดำเนินงานกว่า 30 ปี และยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนที่สอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลกและแผนพลังงานชาติ เพื่อสร้างผลตอบที่ดี สม่ำเสมอ และยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น ควบคู่กับการดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) ในทุกพื้นที่ที่ดำเนินกิจการ ภายใต้แนวคิด “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth” นายเทพรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 5,959 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,364 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“Peer Power”) บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“Innopower”) และบริษัทด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด (“Apex Clean Energy Holdings”)